“อิ๊ง-ชยธร” เจ้าของช่อง “Ingck – พลิกหลังกล่อง” ยูทูปเบอร์ชื่อดัง เปิดผลิตภัณฑ์แบรนด์ใหม่ “INGU” (อิงกุ) ต่อยอดความเชี่ยวชาญพลิกตลาดสกินแคร์

“Ingck” พลิกหลังกล่อง ช่องยูทูปที่เป็นกระแสฮิตอยู่ในโลกออนไลน์รีวิวแบรนด์สินค้าต่างๆ เพราะเป็นการนำเสนอข้อมูลอย่างตรงไปตรงมา ฉะ สับแหลก และบอกความลับของส่วนผสมที่อยู่ข้างหลังกล่อง จนกลายเป็นแฮชแท็กดัง #พลิกหลังกล่อง ซึ่งมีจุดเด่นในการนำส่วนผสมข้างกล่องของสินค้ามาวิเคราะห์ และมีบทความอ้างอิง ย่อยความรู้เรื่อง skincare ได้อย่างลงตัว ทำให้เกิดคำพูดฮิตติดปาก นั่นก็คือ “Ingredients Never Lie” โดยมี อิ๊ง-ชยธร กิติยาดิศัย ดำเนินรายการและเป็นเจ้าของช่อง

ต่อยอดธุรกิจสร้างแบรนด์ของตัวเอง ในฐานะผู้บริหารร่วมกับพี่ชาย ธัช-กีรธัช กิติยาดิศัย ภายใต้แบรนด์ “INGU” (อิงกุ) ผลิตภัณฑ์สกินแคร์ที่มุ่งเน้นการใช้งานวิจัยรองรับจากทั่วโลกและความต้องการพื้นฐานของผิวมากกว่าการทำการตลาด บอกหมดซื่อตรงในทุกขั้นตอนและทำให้สกินแคร์ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับทุกคน ด้วยแนวคิดการสร้างสกินแคร์รูทีนพื้นฐาน (Core Routine) กับผลิตภัณฑ์สกินแคร์คอลเลคชั่นแรก INGU Skincare Essential Series ตอบโจทย์ 3 สเต็ปการดูแลผิวแบบเรียบง่ายแต่ครบครันทุกความต้องการผิว

ช่วยให้ทุกคนมีรูทีนที่ดีและมีผิวที่แข็งแรง โดยเหมาะกับทุกคน แม้ผู้เริ่มสนใจเรื่องสกินแคร์ (Skincare Starter) ก็สามารถใช้ได้ ลดทอนสเต็ปการดูแลผิวที่ซ้ำซ้อน เคลียร์ปัญหาผิวอย่างตรงจุด ทั้งยังรังสรรค์ผลิตภัณฑ์จากแนวคิด PCR (Post-Consumer Recycled) ) เพื่อเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยลดการสร้างพลาสติกใหม่และใช้ซ้ำอย่างยั่งยืน พร้อมวางแผนเปิดช่องทาง Physical store เพื่อเข้าถึงผู้บริโภคในยุค Experiential Retail โดยตั้งเป้ายอดขายทะลุ 200 ล้านบาทภายในปี 2566 และขยายลูกค้าสู่ตลาดต่างประเทศอย่างต่อเนื่องในอนาคต

โดย คุณอิ๊ง-ชยธร กิติยาดิศัย กรรมการบริหารบริษัท อิ๊ง ซีเค จำกัด (Co-Founder) เปิดเผยว่า “จุดเริ่มต้นที่ทำให้อิ๊งได้เข้ามารู้จักกับโลกสกินแคร์ เพราะอิ๊งต้องการจะหาสกินแคร์รูทีนมาเพื่อดูแลตัวเอง แต่พบว่าหลายแบรนด์พยายามนำเสนอเพียงแต่ Benefits และผลลัพธ์ ที่ใช้การตลาด คำเคลม และโฆษณาเพื่อที่จะโน้มน้าวให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อ มากกว่าพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับแต่ละปัญหาผิวจริง ๆ และด้วยแพชชั่นที่อยากจะพัฒนาธุรกิจโรงงานผลิตสกินแคร์ร่วมกับครอบครัว ในฐานะรุ่นที่ 3 ที่ได้คลุกคลีพูดคุยกับนักวิทยาศาสตร์และนักคิดค้นสูตรมากมายอยู่เป็นประจำ

จึงได้ลงไปศึกษางานวิจัยและพบว่าความสับสนเกิดขึ้นจากการที่หลาย ๆ แบรนด์ต่างบอกให้ผู้บริโภคใช้สกินแคร์มากเกินกว่าที่ผิวเราต้องการ เคลมเกินจริงว่าสามารถช่วยรักษาได้ และเผยแพร่ข้อมูลผิด ๆ จึงผุดไอเดียให้ทำช่องยูทูป “พลิกหลังกล่อง” ในรูปแบบรีวิวผลิตภัณฑ์สกินแคร์ขึ้นมา เกี่ยวกับมุมมองส่วนผสม พลิกกล่องสกินแคร์จากการอ่านเพียง Benefits มาอ่านส่วนผสมที่หลังกล่อง เพื่อให้ผู้บริโภคได้เริ่มตั้งคำถามกับการเลือกส่วนผสมสกินแคร์ที่เหมาะสมกับผิวตนเองมากขึ้น

โดยนำเสนอเนื้อหาที่จะทำให้ผู้บริโภครู้จักการอ่านส่วนผสมที่เป็น ‘สารออกฤทธิ์’ ให้เป็น และสามารถที่จะเลือกใช้ได้อย่างถูกต้อง มีทั้งข้อมูลเชิงลึก แหล่งที่มา สูตรสารเคมี รวมถึงเข้าใจการตลาดต่าง ๆ จึงต้องการสร้างแบรนด์มาตรฐานใหม่ให้กับผลิตภัณฑ์สกินแคร์ในประเทศไทย เพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์ของคนไทยและไปสู่ระดับโลก ภายใต้แนวคิดและการดำเนินธุรกิจที่ส่งเสริมให้ผู้บริโภคได้มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องส่วนผสม และปัญหาผิวอย่างจริงจัง สามารถตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าที่เหมาะสมกับตนเองได้ จึงทำให้อิ๊งและคุณธัชคิดค้นพัฒนาและปรับปรุงสูตรผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้าแบรนด์ “INGU” (อิงกุ) มายาวนานกว่า 2 ปี เพื่อสิ่งที่ดีที่สุดให้กับผู้บริโภค

“สำหรับผลิตภัณฑ์สกินแคร์คอลเลคชั่นแรกแบรนด์ INGU เรามุ่งเน้นให้ผู้บริโภคเข้าใจว่า การที่จะมีผิวที่ดีแข็งแรง ต้องเริ่มจากการมีสกินแคร์รูทีนพื้นฐานที่ดีก่อน หรือที่เรียกว่า “Core Routine” เราจึงตัดสินใจเลือกออกเป็น INGU Skincare Essential Series สกินแคร์รูทีนพื้นฐาน ที่ประกอบด้วยสกินแคร์ 3 ชิ้น ตอบโจทย์การดูแลผิว 3 สเต็ป ได้แก่ 1.คลีนเซอร์ (ทำความสะอาด) 2.มอยซ์เจอร์ไรเซอร์ (บำรุง) 3.ครีมกันแดด (ป้องกัน) ซึ่งสเต็ปทั้ง 3 นี้จัดเป็นรูทีนการดูแลผิวแบบเรียบง่าย เพียงพอต่อการใช้สกินแคร์ในชีวิตประจำวัน พร้อมกับผลิตภัณฑ์มีสูตรส่วนผสมเข้มข้นที่หวังผลลัพธ์ได้

ซึ่งไม่ว่าคุณจะเป็น Skincare Starter ที่เพิ่งเริ่มสนใจการใช้สกินแคร์แต่ยังไม่รู้จะเริ่มต้นเลือกใช้สกินแคร์ชิ้นไหน อย่างไร หรือ ใครที่อยากลดทอนสเต็ปการบำรุงผิวก็สามารถใช้ได้ เหมาะสมกับทุกคนและตอบโจทย์ความต้องการของผิวได้อย่างแท้จริง พร้อมสร้างมุมมองใหม่แก่ผู้บริโภคในเรื่องสกินแคร์ ไม่ใช่เรื่องที่ยากซับซ้อนอีกต่อไปและผู้บริโภคได้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการตัดสินใจเลือกซื้อสกินแคร์จากการเชื่อคำเคลมโฆษณา หยุดประโคมสกินแคร์ที่ซ้ำซ้อนและกลับมาฟังความต้องการของผิวตนเอง

อีกทั้ง INGU เริ่มพัฒนาสูตรผลิตภัณฑ์แต่ละตัวจากงานวิจัยที่มีคุณภาพและวิทยาศาสตร์ที่ดีเป็นตัวตั้ง ไม่ได้ให้การตลาดหรือเทรนด์เป็นตัวกำหนดสูตร โดยเราเลือกใช้ทั้งส่วนผสมที่มีงานวิจัยรองรับจากทั่วโลก พัฒนาสูตรด้วยเทคโนโลยีการทำสกินแคร์ (Innovative Ingredients) ให้เข้ากับผิวที่สุด และใช้สารสกัดและศึกษางานวิจัยจากสถาบันท้องถิ่น (Local Ingredients) เพื่อเป็นการเพิ่มคุณค่าสารสกัดไทยสู่ความเป็นสากล และยังเปิดเผยเปอร์เซ็นต์ความเข้มข้นของส่วนผสมเพื่อให้ผู้บริโภคได้รับรู้อีกด้วย

นอกจากนี้ เรายังเข้าใจดีว่าการสร้างแบรนด์ก็คือการสร้างขยะต่อโลก เราจึงอยากที่จะนำพลาสติกรีไซเคิลกลับมาใช้ เพื่อลดการสร้างพลาสติกใหม่และใช้ซ้ำอย่างยั่งยืน ทำให้บรรจุภัณฑ์ของ INGU ทุกชิ้นเป็น PCR (Post-Consumer Recycled) คือการนำพลาสติกที่ผ่านการใช้งานจากผู้บริโภคแล้ว มาผ่านกระบวนการทำความสะอาดและนำมาปรับปรุงคุณสมบัติด้วยเทคโนโลยี หรือนวัตกรรม และส่งผลิตเป็นเม็ดพลาสติก PCR ให้สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้อีกครั้ง” คุณอิ๊ง-ชยธร ฯ ให้ข้อมูลเพิ่มเติม

ด้าน คุณธัช-กีรธัช กิติยาดิศัย กรรมการบริหารบริษัท อิ๊ง ซีเค จำกัด (Co-Founder) เปิดเผยว่า “สำหรับเป้าหมายหลักที่ผมและคุณอิ๊ง ได้ตัดสินใจสร้างแบรนด์ INGU ร่วมกัน เพื่อต้องการนำเสนอผลิตภัณฑ์ของคนไทยไปสู่ระดับโลก ด้วยการพัฒนาสินค้าให้ได้มาตรฐานในระดับนานาชาติ และผลักดันให้แบรนด์สามารถแข่งขันในเวทีนานาชาติ ซึ่งจะเป็นการสร้างบรรทัดฐานใหม่ให้แก่อุตสาหกรรมสกินแคร์ในประเทศไทยแล้ว เรายังช่วยผลักดันแนวคิด และการดำเนินธุรกิจที่ส่งเสริมให้ผู้บริโภคได้มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องส่วนผสมและปัญหาผิวอย่างแท้จริง สามารถเลือกซื้อสินค้าที่เหมาะสมกับตนเองได้ เป็นความตั้งใจที่เราอยากจะพิสูจน์ให้ผู้บริโภคได้เห็นว่าแบรนด์ INGU จะเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมกับสกินแคร์รูทีน โดยสกินแคร์ที่ดีไม่จำเป็นต้องมีขั้นตอนที่เยอะ ไม่จำเป็นต้องมีราคาที่แพง แค่เลือกให้ส่วนผสมที่เหมาะกับผิวหน้าของผู้บริโภคและใช้อย่างถูกวิธี ซึ่งถือเป็นกลยุทธ์หลักในการดำเนินแผนงานตั้งแต่แรกเริ่ม รวมถึงราคาที่สมเหตุสมผลสามารถจับต้องได้จริง ซึ่งลูกค้าสามารถซื้อผลิตภัณฑ์ทั้ง 3 ตัวของเรา ได้แก่ คลีนเซอร์ มอยซ์เจอร์ไรเซอร์ และครีมกันแดด ได้ทั้งหมดในราคา 1,500 บาท”

ทั้งนี้ ทางแบรนด์ต้องการสร้างประสบการณ์ให้แก่ผู้บริโภคได้ครบทุกรูปแบบไม่ว่าจะเป็นช่องทาง Online หรือ Offline (OMNICHANNEL) จึงมีแผนที่จะเปิด Physical Store ให้ผู้บริโภคได้เลือกซื้อและได้จับต้องผลิตภัณฑ์ของ INGU ได้จริง สามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่อยากจะทดลองสินค้า และการได้เห็นสินค้าจริงก่อนตัดสินใจซื้อ รวมทั้งการมีพนักงานที่คอยตอบคำถามไขข้อข้องใจให้แก่ผู้บริโภค ลดความเสี่ยงในการตัดสินใจหรือเลือกพลาดเมื่อได้ลองสินค้านั้นก่อนซื้อ

และในขณะเดียวกัน ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2565 นี้จะเป็นครั้งแรกของแบรนด์ INGU ที่จะจัด Event Booth ช่วงวันที่ 1-13 พฤศจิกายน 2565 ณ สยามเซ็นเตอร์ เพื่อเป็นการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ (Launch Supplement Series) และสร้างภาพลักษณ์ให้แก่ผู้บริโภคในยุค Experiential Retail ซึ่งจะเป็นมาตรฐานการจัดร้าน และการให้บริการของแบรนด์ที่จะเป็นการสร้างประสบการณ์แบบใหม่ให้แก่ผู้บริโภค ส่วนในปี 2566 จะมีแผนพัฒนาแตกไลน์ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้าไปยังผิวกาย (Body Line) รวมถึงผลิตภัณฑ์ของใช้ที่เกี่ยวกับการดูแลตัวเองในอนาคตอีกด้วย โดยยังยึดหลักความต้องการและรับฟังข้อเสนอแนะในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่จากผู้บริโภคอยู่เสมอ และวางเป้าที่จะผลักดันรายได้ให้ถึง 200 ล้านบาทภายในปี 2566 นี้ เพื่อจะขยายตลาด INGU ให้เติบโตไปยังตลาดต่างประเทศ อาทิ สปป.ลาว, กัมพูชา, เมียนมาร์ และเกาหลี โดยวางเป้าสัดส่วนของยอดขายต่างประเทศไว้ที่ 30% ของรายได้ ภายในอีก 2 ปีข้างหน้านี้อย่างแน่นอน