สื่อต่างประเทศหลายแห่งได้รายงานว่า ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่าเพิ่มมากขึ้นนั้น จนทำลายสถิติแข็งค่ามากที่สุดในรอบเกือบ 20 ปี จนทำให้ค่าเงินของประเทศอื่นๆ ทั่วโลกนั้นอ่อนค่าลงอย่างมาก (รวมถึงค่าเงินบาทของไทยด้วย) อย่างไรก็ดีในอีกด้านก็ทำให้บริษัทในสหรัฐอเมริกาเองได้รับผลกระทบตามไปด้วยเช่นกัน
เราจะเห็นว่าค่าเงินบาทของไทย หรือแม้แต่สกุลเงินอื่นๆ ทั่วโลกนั้นกลับอ่อนค่าลงอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นค่าเงินบาทของไทย ค่าเงินเยน ไม่เว้นแม้แต่ค่าเงินยูโร หรือค่าเงินปอนด์ ซึ่งหนึ่งในปัจจัยที่ต้องพูดถึงก็คือค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่ามากขึ้นในช่วงที่ผ่านมา
สาเหตุสำคัญที่ทำให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าเพิ่มมากขึ้นนั้นมาจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ได้ประกาศขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในช่วงที่ผ่านมา เพื่อที่จะแก้ปัญหาอัตราเงินเฟ้อในสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้นสูงในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งข้อดีที่ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่านั้นทำให้บริษัทที่นำเข้าสินค้าจากต่างประเทศนั้นนำเข้าสินค้าในราคาที่ถูกลง
ในกรณีของบริษัทสหรัฐฯ อย่าง Generac ซึ่งเป็นผู้ผลิตเครื่องปั่นไฟนั้นได้ประโยชน์จากการนำเข้าชิ้นส่วนสินค้าจากไต้หวัน ญี่ปุ่น เพื่อนำมาผลิตสินค้า ซึ่งส่งผลทำให้ต้นทุนการผลิตลดลง
อย่างไรก็ดี ไม่ใช่ข้อดีที่ทุกบริษัทจะได้รับ แต่บริษัทสหรัฐอเมริกาบางแห่งต้องจ่ายคือบริษัทภายในสหรัฐฯ หรือแม้แต่บริษัทที่มีโรงงานผลิตสินค้าในต่างประเทศนั้นกลับได้รับผลกระทบดังกล่าว เนื่องจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่านั้นทำให้สินค้าของสหรัฐฯ เองไม่สามารถแข่งขันกับคู่แข่งจากต่างประเทศได้
ปัญหาค่าเงินแข็งค่าได้ส่งผลกระทบโดยเฉพาะบริษัทสหรัฐฯ ที่มีลูกค้าอยู่ในทวีปยุโรป ซึ่งกำลังประสบปัญหาค่าเงินยูโร หรือแม้แต่ค่าเงินปอนด์ได้อ่อนค่าลง ทำให้บริษัทในทวีปยุโรปลดการซื้อสินค้าลง เช่น บริษัท Acgo ซึ่งผลิตเครื่องมือที่เกี่ยวข้องกับการเกษตรนั้นค่าเงินที่แข็งค่าทำให้ยอดขายของบริษัทเมื่อบวกลบกับผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนนั้นกลับกลายเป็นว่ายอดขายของบริษัทลดลงถึง 8.5%
Cummins ผู้ผลิตเครื่องยนต์ดีเซล ได้คาดการณ์ว่าปัญหาค่าเงินดอลลาร์แข็งค่านี้จะทำให้ยอดขายของบริษัทเมื่อบวกลบกับอัตราแลกเปลี่ยนนั้นกระทบกับยอดขายถึง 2% หรือแม้แต่ผู้บริหารสูงสุดด้านการเงินของ Dell ซึ่งเป็นผู้ผลิตอุปกรณ์ไอทีหลายชนิดยังได้กล่าวว่าปัญหาดอลลาร์ที่แข็งค่านั้นถือว่ามีผลกระทบสำคัญกับบริษัท เนื่องจากบริษัทนั้นรับรายได้เป็นสกุลเงินท้องถิ่นและต้องแปลงสกุลเงินกลับมาเป็นดอลลาร์สหรัฐ
ผู้บริหารของ Dell รายนี้ยังกล่าวว่าในปี 2023 ตราบใดที่ Fed ยังขึ้นอัตราดอกเบี้ยเรื่อยๆ ก็จะทำให้ดอลลาร์แข็งค่ามากขึ้น และเป็นเรื่องยากที่จะคาดการณ์สกุลเงินต่างๆ ได้
ปัญหาดังกล่าวยังกระทบกับบริษัทที่เกี่ยวข้องกับชีวิตทั่วไปอย่าง McDonald’s ด้วยเช่นกัน โดยค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่ามากเกินไปทำให้รายได้ในผลประกอบการไตรมาสล่าสุดนั้นลดลงถึง 3% เมื่อเทียบกับปี 2021 ที่ผ่านมา
บริษัทหลายแห่งในสหรัฐอเมริกาได้ทำประกันความเสี่ยงเกี่ยวกับค่าเงินแล้วก็ตามในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา แต่ก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงปัญหานี้ได้มากนัก
ข้อมูลจาก FactSet บริษัทต่างๆ ที่อยู่ในดัชนี S&P 500 มีรายได้นอกสหรัฐอเมริการวมกันถึง 40% และผลกระทบจากค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าจะกระทบกับกำไรของตัวดัชนีดังกล่าวนี้มากถึง 4% ซึ่งค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่ามากเกินไปนั้นอาจไม่ได้เป็นสิ่งที่ดีมากนักสำหรับเศรษฐกิจสหรัฐฯ