จุดเปลี่ยน “เบทาโกร” สู่เป้าหมายการเป็น “บริษัทอาหารชั้นนำระดับสากล เพื่อชีวิตที่ยั่งยืน”

กว่า 55 ปีของการพัฒนาที่ไม่หยุดนิ่ง ทำให้ “บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน)” ประสบความสำเร็จและได้รับการยอมรับในฐานะผู้ผลิตอาหารชั้นนำระดับสากลของประเทศมาอย่างต่อเนื่อง โดยยึดมั่นในแนวคิดขององค์กรที่ต้องการ ช่วยให้ผู้คนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ด้วยอาหารที่มีคุณภาพมากกว่า มีความปลอดภัยสูงกว่า ในราคาที่เป็นธรรม เพราะสิ่งนี้เป็นปัจจัยสำคัญของชีวิต และเป็นรากฐานของการพัฒนาที่ยั่งยืน รวมถึงเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนและยกระดับอุตสาหกรรม เพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหารในอนาคต

ชู ESG ขับเคลื่อนธุรกิจเติบโตอย่างมีคุณภาพและยั่งยืน

“เบทาโกรให้ความสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจที่ยั่งยืน บนพื้นฐานของความรับผิดชอบต่อเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยคำนึงถึงการลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการดำเนินธุรกิจ ด้วยการผสานความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้ากับการพัฒนา เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์คุณภาพที่สูงกว่าสู่ผู้บริโภค ภายใต้กรอบการดำเนินธุรกิจตามหลัก ESG (Environment, Social, and Governance) ครอบคลุมด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล ให้แก่ผู้มีส่วนได้เสียตลอดห่วงโซ่อุปทาน พร้อมขับเคลื่อนนโยบายและทิศทางการดำเนินงานด้านความยั่งยืน เพื่อตอบสนองต่อเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ (United Nations Sustainable Development Goals: SDGs) รวมทั้งการดำเนินธุรกิจด้วยเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ในการพัฒนาและออกแบบการใช้ทรัพยากรให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด” นายวสิษฐ แต้ไพสิฐพงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) กล่าว

ดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม

เบทาโกรคำนึงถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม จึงได้นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ในการดำเนินงาน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายความยั่งยืนระยะยาว บริษัทฯ มีการบริหารจัดการน้ำ ของเสียและพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ โดยลดปริมาณการใช้น้ำในกระบวนการผลิต เพิ่มการนำน้ำที่ใช้แล้วกลับมาใช้ใหม่ รวมถึงการบำบัดน้ำทิ้งจากกระบวนการผลิตให้มีคุณภาพตามมาตรฐานที่กฎหมายกำหนด  ลดการเกิดของเสียที่แหล่งกำเนิด การส่งเสริมพนักงานให้คัดแยกของเสียก่อนทิ้ง รวมทั้งมีโครงการปรับปรุงและพัฒนาเพื่อนำของเสียไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด มีการปรับส่วนผสมของอาหารสัตว์เพื่อปรับปรุงการดูดซึมสารอาหารของสุกร ซึ่งช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและกลิ่น นอกจากนี้ บริษัทฯ เลือกใช้พลังงานทดแทนจากเทคโนโลยีพลังงานแสงอาทิตย์ ด้วยการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์มากกว่า 35 สถานประกอบการทั่วประเทศ ซึ่งสามารถผลิตพลังงานสะอาดได้กว่า 40 เมกะวัตต์ สามารถลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงกว่า 22,000 ตัน ช่วยประหยัดต้นทุนและลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ไปได้พร้อมกัน

“เราได้ติดตั้ง Solar rooftop ที่มีกำลังการผลิตไฟฟ้าอยู่ที่ 2.8 MW ที่โรงงานผลิตอาหารสัตว์แห่งที่ 3 จังหวัดลพบุรี นับเป็นโรงงานผลิตอาหารสัตว์แห่งแรกและแห่งเดียวในโลก ที่สามารถใช้พลังงานแสงอาทิตย์ในการดำเนินงานในช่วงเวลากลางวันได้ถึง 100% และมีแผนที่จะขยายขอบเขตการประเมินการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก หรือคาร์บอนฟุตพรินต์ไปยังผลิตภัณฑ์เนื้อสุกรและผลิตภัณฑ์ไข่ไก่ ให้ครอบคลุมทุกผลิตภัณฑ์หลักในธุรกิจอาหารและอาหารสัตว์” นายวสิษฐ กล่าว

ร่วมสร้างรากฐาน “สังคมเข้มแข็ง” มุ่งสู่ความยั่งยืน

นอกจากการให้ความสำคัญกับกระบวนการผลิตแล้ว เบทาโกรเชื่อว่าธุรกิจจะเติบโตอย่างยั่งยืนได้ ต้องพัฒนาชุมชนและสังคมให้เติบโตไปพร้อมกัน ดังนั้น บริษัทฯ จึงได้ริเริ่มโครงการพัฒนาชุมชนในพื้นที่ที่มีการดำเนินธุรกิจตามแนวทางการพัฒนาชุมชนเชิงพื้นที่แบบองค์รวม (Holistic Area-based Community Development) ให้มีความเข้มแข็งทั้ง 5 ด้าน ได้แก่ ด้านเศรษฐกิจ สุขภาพ สิ่งแวดล้อม สังคม และการศึกษา โดยร่วมมือกับภาครัฐ ภาคเอกชน ท้องถิ่น และสถาบันการศึกษา ร่วมวางแผนแม่บทการพัฒนาชุมชนที่เรียกว่า “โมเดลช่องสาริกา” เพื่อสร้างชุมชนให้เกิดความเข้มแข็ง สามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างแท้จริง พร้อมกับสนับสนุนให้เกิดจิตอาสา สำนึกรักในบ้านเกิดต่อยอดการเรียนรู้จากรุ่นสู่รุ่น สร้างชุมชนและสังคมคุณภาพที่ดีอย่างยั่งยืน

อีกทั้งยังได้ร่วมกับภาคีเครือข่าย จัดตั้งธนาคารพัฒนาหมู่บ้าน ณ ตำบลช่องสาริกา อำเภอพัฒนานิคม จังหวัดลพบุรี โครงการครัวคุณภาพ มุ่งยกระดับมาตรฐานด้านโภชนาการ และสุขอนามัยแก่ครัวโรงเรียนอย่างต่อเนื่อง โครงการอนุรักษ์และขยายพันธุ์ไก่ป่า เพื่อใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน โครงการปลูกป่าชุมชน โครงการเพื่อการอนุรักษ์และพัฒนาพื้นที่คุ้งบางกะเจ้า เป็นต้น

นอกจากนี้ โรงงงานอาหารสัตว์ ที่จังหวัดนครราชสีมา ได้มีการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรม เช่น ระบบ MES (Manufacturing Execution System) และระบบ DCS (Distributed Control System) เข้ามาใช้ในการบริหารจัดการด้านการผลิต นอกจากจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตแล้ว ยังเป็นการพัฒนาทักษะแรงงานและการสร้างงานในพื้นที่ รวมถึงตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าได้ดีขึ้น

ขับเคลื่อนธุรกิจโปร่งใสด้วยบรรษัทภิบาล

เบทาโกรให้ความใส่ใจในทุกขั้นตอนการผลิต เพื่อให้ได้อาหารคุณภาพที่ปลอดภัยส่งถึงผู้บริโภค เพราะอาหารเป็นพื้นฐานสำคัญในการดำรงชีวิต ดังนั้น ภายใต้มาตรฐานคุณภาพและความปลอดภัยด้านอาหาร (Betagro Quality Management: BQM) ในกระบวนการผลิต ร่วมด้วยการพัฒนาเทคโนโลยีด้านความปลอดภัยของอาหารในการตรวจสอบย้อนกลับสินค้าและผลิตภัณฑ์ (Betagro E-Traceability System) ที่สามารถตรวจสอบย้อนกลับในกระบวนการอาหารได้ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ ผู้บริโภคจึงมั่นใจได้ได้ว่า ทุกผลิตภัณฑ์ของเบทาโกรเปี่ยมด้วยคุณภาพ ความปลอดภัยในระดับมาตรฐานสากล

นายวสิษฐ กล่าวเสริมว่า การควบคุมคุณภาพการผลิตและผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัยเป็นหนึ่งในเรื่องที่เบทาโกรให้ความสำคัญเป็นลำดับสูงสุด โดยเฉพาะความปลอดภัยทางชีวภาพเบทาโกร (Betagro Biosecurity Management) เพื่อลดความเสี่ยงการเกิดโรคในปศุสัตว์ โดยมุ่งเน้นการจัดการในแบบองค์รวม ทั้งสุขภาพของสัตว์และสภาพแวดล้อมตั้งแต่ต้นทาง และผลิตภัณฑ์ S-Pure ของเบทาโกร ยังเป็นแบรนด์แรกของโลก และของไทยที่ได้รับการรับรอง “การเลี้ยงโดยไม่ใช้ยาปฏิชีวนะ (Raise Without Antibiotics – RWA)” โดย “NSF International”  ซึ่งสามารถตรวจสอบย้อนกลับห่วงโซ่อุปทานได้ในทุกขั้นตอนของการผลิต

สานต่อพันธกิจในการดำเนินธุรกิจเพื่อความยั่งยืน

ขณะที่เบทาโกรมุ่งยกระดับ Ecosystem ร่วมสร้างคุณค่ากับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในทุกภาคส่วนให้เติบโตไปพร้อมกัน ด้วยการดำเนินธุรกิจที่มุ่งตอบสนองต่อเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ โดยให้ความสำคัญกับ 4 เป้าหมายที่สอดคล้องกับการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ ได้แก่ การขจัดความอดอยาก สร้างความมั่นคงทางอาหาร (Zero hunger) การส่งเสริมสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของทุกคน (Good health and Well-being) การสร้างรูปแบบการผลิตและการบริโภคอย่างยั่งยืน (Responsible consumption and production) และการผสานความร่วมมือเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (Partnership for the goal)

ตลอดจนการดำเนินธุรกิจด้วยหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ในการพัฒนาและออกแบบการใช้ทรัพยากรให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ทั้งการบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ การส่งเสริมพลังงานสะอาด ได้แก่ การใช้พลังงานทดแทนจากเทคโนโลยีพลังงานแสงอาทิตย์สำหรับอาคารและโรงงาน การจัดการของเสียด้วยการใช้พลังงานจากชีวมวล จากการผลิตปศุสัตว์ และการลดขยะจากบรรจุภัณฑ์ใช้แล้วทิ้งในสำนักงานและกระบวนการผลิต ส่งเสริมให้มีการประเมินคาร์บอนฟุตพรินต์ขององค์กรและผลิตภัณฑ์อีกด้วย สิ่งเหล่านี้ล้วนมีส่วนสำคัญที่จะนำเบทาโกรก้าวไปสู่การเป็นบริษัทอาหารชั้นนำระดับสากล เพื่อชีวิตที่ยั่งยืนสำหรับทุกคน