Big cola จังหวะใหม่ตลาดน้ำดำ

ทุกธุรกิจมี “โอกาส” รออยู่เสมอ ขอให้หาช่องว่างให้เจอ ดูอย่างตลาดน้ำดำที่เคยมีโค้กและเป๊ปซี่ สองบิ๊กโกลบอลแบรนด์ที่ยึดครองตลาดไว้อย่างเหนียวแน่นมาหลายสิบปี มองไม่เห็นทางว่าแบรนด์ไหนจะเข้ามาเจาะตลาดได้ง่ายๆ

แต่อยู่ดีๆ “บิ๊กโคล่า” แบรนด์น้ำดำนอกสายตา ก็สามารถชิงส่วนแบ่งตลาด 23% มูลค่า 36,000 ล้านบาท กลายเป็นเบอร์ 3 ของตลาด โดยใช้เวลาเพียงแค่ 5 ปี

“บิ๊กโคล่า” ไม่ใช่แบรนด์ดังที่มีคนรู้จักมาก่อน แถมยังจัดเป็นประเภทแบรนด์ม้านอกสายตาด้วยซ้ำ แต่บิ๊กโคล่านำกลยุทธ์ป่าล้อมเมือง ใช้ความเป็นน้ำดำโลว์คอสต์บวกกับความหลากหลายของแพ็กเกจจิ้งมาใช้ เพื่อสร้างเซ็กเมนต์ใหม่ๆ ขึ้นมาในตลาดจนเป็นที่รู้จักในต่างจังหวัด

จนเมื่อได้เวลาก็บุกตลาดเมือง บิ๊กโคล่าสลัดคราบจากแบรนด์บ้านนอก กลายเป็นวัยรุ่นเมืองได้ด้วยการเป็นสปอนเซอร์ฟุตบอลทีมชาติอังกฤษ ทำเอาเจ้าตลาดเดิมตั้งตัวไม่ทัน มารู้ตัวอีกทีบิ๊กโคล่าก็วิ่งไล่กวดตามมาติดๆ แล้ว

ส่วนสเต็ปการทำตลาดของบิ๊กโคล่าเป็นอย่างไร เงื่อนไขในการทำธุรกิจเป็นแบบไหน อะไรคือการลองผิดลองถูกของบิ๊กโคล่า พลิกหาคำตอบทั้งหมดได้ในฉบับ

อีกศึกที่แวดวงการตลาดต้องไม่พลาด คราวนี้เป็นคิวของสาหร่ายปรุงรส เมื่อ “เถ้าแก่น้อย” ของเถ้าแก่หน้าใส “ต๊อบ-อิทธิพัทธ์ กุลพงษ์วณิชย์” กำลังเจอคู่แข่งอย่าง “มาชิตะ” ของค่ายเบียร์สิงห์ ที่มี “สันต์ ภิรมย์ภักดี” ผู้บริหารหนุ่มเจนฯ 4 ซึ่งได้ไฟเขียวจากบอร์ดบริหารสั่งลุยตลาดเต็มที่ เพราะหวังเป็นหนึ่งในธุรกิจทำรายได้ให้กับกลุ่ม Non-alcohol ที่กำลังบุกหนัก

ที่น่าสนใจ ทั้งสองค่ายต่างช่วงชิงความเป็น “สาหร่ายเกาหลี” ผ่านพรีเซ็นเตอร์ดัง โดยค่ายบุญรอดได้ “คยูฮยอน” จากวงซุปเปอร์จูเนียร์มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้ ส่วน “เถ้าแก่น้อย” ได้หนุ่มน้อยวง “บีสท์” มาเป็นพรีเซ็นเตอร์

ดูแล้วไม่ต่างจากตลาด “ชาเขียว” ที่ชูความเป็น “ญี่ปุ่น” ผู้ผลิตชาเขียวของไทยที่วาง Positioning ความเป็นญี่ปุ่นเอาไว้อย่างแข็งแรง แม้แต่ผู้ผลิตจากญี่ปุ่นแท้ๆ ก็ยังสู้ไม่ได้

งานนี้เลยทำให้คิวงานของ ต๊อบ-อิทธิพัทธ์ แน่นมาก เพราะไหนต้องคุมโรงงานผลิต เดินสายขยายตลาดต่างประเทศที่กำลังไปได้ดี ถึงกับตั้งเป้าเป็น “เอเชียแบรนด์” เวลาเล่นเกมแบบเดิมๆ ก็ไม่มี ต้องเปลี่ยนมาเล่น “Angry birds” ระหว่างรอขึ้นเครื่อง เวลาที่รับเชิญไปบรรยายก็น้อยลง งานนี้เลยไฟเขียวให้ “จีทีเอช” นำประวัติชีวิตไปทำเป็นภาพยนตร์ออกฉาย แบบไม่ต้องควักเงินกันทั้งคู่ แต่วิน วินทั้งคู่

จีทีเอชได้เนื้อเรื่องเถ้าแก่น้อยไปทำหนัง แม้เรื่องราวการสู้ชีวิตของต๊อบ-อิทธิพัทธ์จะไม่โลดโผนประเภท “ล้มแล้วลุก” เท่ากับชีวิตของ “ตัน ภาสกรนที” แต่การสร้างตัวมาจากศูนย์ ทำให้เถ้าแก่น้อยก็จัดเป็นหนึ่งใน Idol ให้กับคนรุ่นใหม่ซึ่งส่วนใหญ่ต้องการป็นเจ้าของกิจการมากกว่าเป็นลูกจ้าง ส่วนเถ้าแก่น้อยได้ทั้งซีอีโอแบรนด์ และแบรนด์สินค้าไปแบบไม่ต้องควักเงินจ่าย

ส่วนหนังของเถ้าแก่น้อยจะแรงแค่ไหน ยังไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ งานนี้ศึกสาหร่ายร้อนแรงน่าดู