“แม็คกรุ๊ป” กำไรไตรมาส 1 ปีบัญชี 2566 พุ่งทะยานแตะ 116 ล้านบาท ทำสถิติสูงสุดรอบ 5 ปี

“แม็คกรุ๊ป” กำไรไตรมาส 1 ปีบัญชี 2566 พุ่งทะยานทำสถิติสูงสุดรอบ 5 ปี กว่า 116 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 390%  เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ขณะที่อัตรากำไรสุทธิ 15% มาร์จิ้นกว่า 64% รับกำลังซื้อฟื้น รัฐอัดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่องหลังเปิดประเทศ คาดการณ์ไตรมาส 2  ดีต่อเนื่อง ท่องเที่ยวฟื้นดันยอดช้อปเพิ่ม

นายเจมส์ ริชาร์ด อมตวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แม็คกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ  MC องค์กรธุรกิจค้าปลีก ประเภทสินค้าแฟชั่นและสินค้าไลฟ์สไตล์ “แม็คยีนส์” เปิดเผยถึงภาพรวมผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 1 ปีบัญชี 2566 (1 กรกฎาคม 2565-30 กันยายน 2565) กลุ่มบริษัทมีกำไรสุทธิ 116 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 390%  หรือ 92 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไร 24 ล้านบาท โดยมีอัตรากำไรสุทธิ 15 % เพิ่มขึ้น 9.7% จากงวดเดียวกันของปีที่ผ่านมาซึ่งอยู่ที่ 5.3%

ทั้งนี้ในไตรมาสแรกของปีบัญชี 2566 บริษัทมีรายได้การขายสินค้ารวม 759 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 321 ล้านบาท หรือ 73.3% เกิดจากกำลังซื้อที่กลับมาในช่องทางออฟไลน์ ได้แก่ ร้านค้าปลีกตัวเองและห้างสรรพสินค้าที่เป็นช่องทางหลักของบริษัทฯ โดยมีสัดส่วนรายได้จากช่องทางร้านค้าปลีกตัวเอง (Free-standing Shop 65%, ห้างสรรพสินค้า (Department Store) 23%, ร้านค้าออนไลน์ (E-Commerce) 9% และช่องทางอื่นๆ คิดเป็น 4%

“รายได้และกำไรของบริษัทเติบโตและกลับไปอยู่ในระดับก่อนวิกฤตการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 กำไรที่ทำได้ในไตรมาสแรกของปี อยู่ที่ 116 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นกำไรที่ทำสถิติสูงสุดในรอบ 5 ปี และสอดคล้องกับดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค อยู่ที่ระดับ 46.4 ในเดือนกันยายนปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 44.3 ในเดือนมิถุนายน เป็นผลมาจากมาตรการผ่อนคลายของภาครัฐทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจเริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติ รวมไปถึงมาตรการของรัฐบาลในการกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น โครงการคนละครึ่ง บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ส่งผลให้ประชาชนมีกำลังซื้อมากขึ้น และส่งผลดีต่อผู้ประกอบการรายย่อย” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  บมจ.แม็คกรุ๊ป กล่าว

นายเจมส์ ริชาร์ด กล่าวว่า บริษัทยังคงดำเนินธุรกิจตามกลยุทธ์หลัก ที่มุ่งเน้นคุมเข้มต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการค่าใช้จ่าย รวมไปถึงกลยุทธ์ทางการตลาดมุ่งเน้นทำ Product Mix การส่งเสริมการขายและการบริหารช่องทางการขายสินค้า ส่งผลให้ในไตรมาสนี้บริษัทมีกำไรขั้นต้นที่ 490 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 82.4% หรือ 222 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน จากยอดขายที่เพิ่มสูงขึ้นและมีอัตรากำไรขั้นต้นที่ 64.6% เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 61.4%

นายเจมส์ ริชาร์ด กล่าวเพิ่มเติมว่า แนวโน้มผลดำเนินงานไตรมาส 2 (ตุลาคม-ธันวาคม 2565) สดใสต่อเนื่องเพราะเป็นช่วงไฮซีซั่น และหลังเปิดประเทศหนุนให้ให้จีดีพีประเทศขยายตัว รวมถึงบริษัทเร่งปรับโฉมและขยาย Mc Outlet เพิ่มตามเป้าหมายที่วางไว้ว่าในปีบัญชี 2566 ที่จะเปิด 15 สาขา โดยในไตรมาสแรกของปีเปิดไปแล้ว 4  สาขา และมีโอกาสที่จะเปิดครบ 100 สาขา รวมไปถึงการจัดทำโปรโมชั่นและแคมเปญต่างๆ อย่างต่อเนื่อง

สำหรับฐานะการเงินของบริษัท ยังคงแข็งแกร่งต่อเนื่อง ณ วันที่ 30 กันยายน 2565 กลุ่มบริษัทมีสินทรัพย์รวมทั้งสิ้น 5,325 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% หรือ 263 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับวันที่ 30 มิถุนายน 2565 ที่มีสินทรัพย์รวมทั้งสิ้น 5,062 ล้านบาท มีสาเหตุหลักมาจากเงินสดและเงินลงทุนระยะสั้นเพิ่มขึ้น 116 ล้านบาท จากเดิม 1,995 ล้านบาท เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2565 เป็น 2,111 ล้านบาท ณ วันที่ 30 กันยายน 2565