- แสนสิริ รายแรกอสังหาฯไทย! ยกระดับติดตั้งทั้ง Solar Roof และ EV Charger 100% ให้เป็นโมเดลมาตรฐานในบ้านทุกรูปแบบทุกเซ็กเม้นท์ ผลักดันสู่เป้าพันธกิจ Net-Zero องค์กรที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็น ”ศูนย์” ในปี 2050
- เดินหน้าโร้ดแมป ปี 2022 สู่อนาคต สร้าง “Smart Green-Energy Living Ecosystem” การอยู่อาศัยแห่งอนาคตเต็มรูปแบบวัสดุบ้านจากโรงงานพรีคาสต์สีเขียว-บ้านพลังงานสะอาดจากโซล่าร์-เดินทางใช้ EVCharger
- ตอกย้ำผู้นำอันดับหนึ่ง! ติดตั้ง Solar Roof และ EV Charger จำนวนมากที่สุดในวงการอสังหา Solar Roof 100% ติดตั้งแล้วกว่า 600 หลัง ในบ้านเดี่ยวโครงการใหม่ทุกหลังทุกเซ็กเมนท์ EV Charger 100% ติดตั้งในโครงการบ้านเดี่ยวระดับบนโครงการใหม่ 300 หลัง และ อสังหาฯรายแรกที่ติดตั้ง EV Charger ในคอนโดมาแล้วกว่า 10 ปี
- ชี้ข้อสรุป COP27 วาระโลก และ APEC2022เน้นย้ำ Net-Zero ประเด็นที่ทุกภาคส่วนในประเทศไทย ต้องช่วยกันเร่งแก้ลดมลภาวะโลกครั้งใหญ่
- ลูกบ้านแสนสิริ มีส่วนร่วมช่วยลดปล่อยก๊าซคาร์บอนจากการซื้อบ้านแสนสิริในทุกโครงการใหม่แล้วกว่า 31โครงการปีนี้ ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนสู่ชั้นบรรยากาศแล้วกว่า 1,477 ตันคาร์บอน เทียบเท่ากับการปลูกต้นไม้106,974ต้นช่วยประหยัดเงินค่าไฟ ได้แล้วกว่า 21ล้านบาท ต่อปี
- เตรียมจับมือพันธมิตรธนาคารชั้นนำส่งสินเชื่อโซล่าร์เพื่อการใช้พลังงานสะอาด สำหรับที่อยู่อาศัยลูกบ้านแสนสิริในโครงการเก่า เข้าถึง Solar Roof ได้ง่ายขึ้น เพื่อรองรับดีมานด์ใช้พลังงานสะอาดมากขึ้นและราคาค่าไฟสูงขึ้น
นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “แสนสิริ ตอกย้ำบทบาทองค์กรสีเขียว (Green organization) ที่ขับเคลื่อนนโยบายและพันธกิจความยั่งยืนอย่างจริงจังมาแล้วกว่า 5 ปีสู่การประกาศเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายแรกของไทยที่ตั้งเป้าหมายปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็น “ศูนย์” (Net-Zero) ภายในปี 2050 เพื่อมุ่งสร้างจุดเปลี่ยนด้านสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนทั้งนี้ข้อสรุปจากวาระโลก COP27 และ APEC2022 ซึ่งยังคงเน้นย้ำ Net-Zero ประเด็นที่ทุกภาคส่วนทั่วโลก ต้องช่วยกันเร่งแก้ลดมลภาวะโลกให้ได้ตามเป้าที่วางไว้ซึ่งรวมถึงการจัดการกับปัญหาสภาพภูมิอากาศการบริหารจัดการทรัพยากรยั่งยืน ตลอดจนการลดและจัดการของเสียอย่างยั่งยืน
ในปีนี้ แสนสิริเดินหน้ารุกเป้าพันธกิจ Net-Zero อย่างเป็นรูปธรรมต่อเนื่อง โดยเป็นอสังหาฯรายแรกในประเทศไทยที่สร้าง “Smart Green-Energy Living Ecosystem” การอยู่อาศัยแห่งอนาคตเต็มรูปแบบที่ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนสู่สิ่งแวดล้อมโลกซึ่งลูกบ้านแสนสิริ มีส่วนร่วมช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนจากการซื้อบ้านแสนสิริทุกโครงการใหม่แล้วกว่า 31 โครงการในปีนี้จากต้นทางจนถึงปลายทางที่ใช้พลังงานสะอาดภายในบ้านเริ่มต้นจากวัสดุบ้านที่ผลิตจากโรงงานพรีคาสต์สีเขียวของแสนสิริซึ่งเป็นโรงงานสีเขียวแห่งแรกและแห่งเดียวในประเทศไทยที่แทบจะมีWaste เป็นศูนย์ บ้านพลังงานสะอาดจากโซล่าร์ ติดตั้ง Solar Roof 100% ภายใต้ความร่วมมือกับพันธมิตร ไอออนเอนเนอร์ยี่ เพื่อใช้พลังงานสะอาดในการใช้ชีวิตประจำวัน ตลอดจนติดตั้ง EV Charger สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าพลังงานสะอาดในการเดินทางพร้อมยกระดับติดตั้งทั้ง Solar Roof และ EV Charger 100% ให้เป็นโมเดลมาตรฐานในทุกโครงการใหม่ของบ้านทุกรูปแบบ ทุกระดับเซ็กเม้นท์ ซึ่งแสนสิริ ยังเป็นอสังหาฯไทยรายแรก
ที่เริ่มติด EV Charger ในคอนโดมิเนียม มาแล้วกว่า 10 ปีและติดตั้งมากที่สุดในวงการอสังหาฯ กว่า 50 โครงการ รวมจำนวนกว่า 580 หัวชาร์จ เพื่อผลักดันสู่เป้าพันธกิจ Net-Zero องค์กรที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็น ”ศูนย์” ในปี 2050 อย่างเป็นรูปธรรม และการสร้าง Low-Energy Home บ้านต้นแบบที่เตรียมนำร่องเปิดตัวในช่วงต้นปี 2566 สอดรับเทรนด์ผู้บริโภคยุคใหม่ที่ตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย โดยส่วนหนึ่งคำนึงถึงนวัตกรรมการอยู่อาศัยเพื่อลดมลภาวะสิ่งแวดล้อมและการใช้ชีวิตที่ยั่งยืน”
ในปี 2565 นี้แสนสิริ ติดตั้ง Solar Roof 100% ในบ้านเดี่ยวโครงการใหม่ทุกหลัง ทุกระดับเซ็กเมนท์ คืบหน้าแล้ว 600 หลัง ในกว่า 31 โครงการอาทิ โครงการใหม่ในกรุงเทพ กรีฑา คอมมูนิตี้ซึ่งเป็นคอมมูนิตี้ เพื่อการอยู่อาศัยกว่า 500 ไร่ และสังคมคุณภาพระดับนานาชาติ บนทำเลที่ดีที่สุดของกรุงเทพกรีฑาที่ประกอบด้วยเศรษฐสิริ กรุงเทพกรีฑาบุราสิริ กรุงเทพกรีฑานาราสิริ กรุงเทพกรีฑา เป็นต้น โดยติด Solar Roof ขนาด 1.84 kW ตามเป้าที่วางไว้ในปีนี้ แบ่งเป็นบ้านเดี่ยวระดับราคาต่ำกว่า 8 ล้านบาท รวมจำนวน 427 หลัง และบ้านเดี่ยวระดับราคา 8 ล้านบาทขึ้นไป รวมจำนวนทั้งสิ้น 173หลัง ช่วยลดการปล่อยคาร์บอนแล้วกว่า 967ตันคาร์บอน เทียบเท่ากับการปลูกต้นไม้ 64,474 ต้น และช่วยประหยัดเงินค่าไฟให้ลูกบ้านและค่าส่วนกลางได้แล้วกว่า 7.6ล้านบาท ต่อปีคาดภายในปี 2566 สามารถติดตั้งได้รวม 2,100 หลัง หรือคิดเป็นกว่า 30% จากเป้า 6,600 หลัง ภายใน 3 ปี (2566-2568) ที่บ้านเดี่ยวแสนสิริทุกหลังคอนโดมิเนียมและพื้นที่ส่วนกลางทุกโครงการใหม่ของแสนสิริ ติดตั้งSolar Roof ได้ครบ 100% โดยในปี 2566 ตั้งเป้าติด Solar Roof เพิ่มในพื้นที่คลับเฮาส์ ทุกโครงการใหม่จำนวน 48 โครงการและติดในส่วนกลางของคอนโดมิเนียมใหม่กว่า 60 โครงการสอดคล้องกับความมุ่งมั่นของแสนสิริ ในการติด Solar Roof ให้ครอบคลุมทุกเซ็กเม้นท์ตอบโจทย์ดีมานด์ความต้องการที่เพิ่มขึ้นของลูกบ้านตลอดจนขยายการติดตั้งต่อไปยังธุรกิจอื่นๆ ของแสนสิริ เพื่อขับเคลื่อนสู่เป้าหมาย Net-ZERO อาทิ โรงงานพรีคาสต์แห่งล่าสุด ซึ่งเป็นโรงงานพรีคาสต์สีเขียวอย่างเต็มรูปแบบแห่งแรกและแห่งเดียวในไทยรองรับการเติบโตก้าวกระโดดของแสนสิริปี 2023, โรงแรม เดอะ สแตนดาร์ด หัวหิน, โรงแรม เดอะ เภรี โฮเต็ล ทั้ง 2 แห่ง ที่หัวหินและเขาใหญ่, โรงเรียนสาธิตพัฒนาตั้งเป้าติดตั้งจำนวน 812 กิโลวัตต์ ซึ่งจะสามารถช่วยประหยัดค่าไฟฟ้าได้มากถึง5.5 ล้านบาทต่อปี
นอกจากนี้ยังติดตั้งไฟส่องสว่างในสวนพลังงานแสงอาทิตย์ในทุกโครงการแนวราบทุกโครงการใหม่ ครบตามเป้าปีนี้แล้วกว่า 63 โครงการ ช่วยลดการปล่อยคาร์บอนแล้วกว่า 5 ตันคาร์บอน เทียบเท่ากับการปลูกต้นไม้ 529 ต้น และช่วยประหยัดเงินค่าไฟให้ลูกบ้านและค่าส่วนกลาง ได้แล้วกว่า 430,000 บาทต่อปี นอกจากนี้ ลูกบ้านแสนสิริในโครงการเก่า ภายใต้การดูแลของนิติบุคคล พลัส พร็อพเพอร์ตี้ สามารถเข้าถึงการใช้พลังงานสะอาดจาก Solar Roof ง่ายขึ้น โดยเตรียมจับมือธนาคารชั้นนำ ส่งสินเชื่อโซล่าร์สำหรับที่อยู่อาศัยกับดอกเบี้ยเรทพิเศษเพื่อรองรับดีมานด์การใช้พลังงานสะอาดที่เพิ่มมากขึ้น
ด้าน EV Charger แสนสิริ ติดตั้งคืบหน้าแล้วกว่า 300 หลังในบ้านเดี่ยวทุกหลังในโครงการระดับบนทั้งเซ็กเมนท์บุราสิริ เศรษฐสิริ และ นาราสิริ จำนวนกว่า 14 โครงการช่วยลูกบ้านประหยัดค่าน้ำมันแล้วรวมกว่า 13.14 ล้านบาทลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนสู่ชั้นบรรยากาศแล้วกว่า 510 ตันคาร์บอนเทียบเท่ากับการปลูกต้นไม้ 42,500 ต้นทั้งนี้ ตั้งเป้าภายใน 3 ปี สามารถติดตั้ง EV Charger ได้เพิ่มกว่า 2,100 หลัง รวมถึงขยายผลติดในส่วนกลางคอนโดใหม่รวม 68 โครงการและ ติดในส่วนกลางคอนโดเก่า กว่า 100 โครงการรวมจำนวน 1,000 หัวชาร์จ ซึ่งจะสามารถช่วยลดการปล่อยคาร์บอนสู่ชั้นบรรยากาศกว่า 3,570 ตันคาร์บอน เทียบเท่ากับการปลูกต้นไม้ 297,500 ต้นและจะช่วยประหยัดเงินค่าไฟให้ลูกบ้านและค่าส่วนกลาง ได้มากถึง 92 ล้านบาท ต่อปี
พีรกานต์ มานะกิจ ประธานผู้บริหารฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท ไอออน เอนเนอร์ยี่ จำกัด (ION Energy) ผู้นำด้านจัดหาโซลูชั่นพลังงานโซลาร์ครบวงจรเผยว่า “ปัจจุบันเทรนด์การใช้พลังงานสะอาดจาก Solar Roof ในกลุ่มที่อยู่อาศัย (Residential) มีเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากผู้คนทั่วโลกและในประเทศไทย หันมาตระหนักถึงการร่วมกันช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนสู่ชั้นบรรยากาศมากขึ้น รวมถึงเทคโนโลยีปัจจุบันทำให้ราคาของการติดตั้ง Solar Roof ถูกลง สามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้นจึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำคัญที่ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายจากค่าไฟที่ราคาต่อหน่วยสูงขึ้นถึง 4.72 บาท และมีแนวโน้มสูงขึ้นถึง 6 บาทภายใน 3 ปีข้างหน้า (ข้อมูลจาก : ธนาคารทหารไทย) ซึ่งจะยิ่งทำให้การติด Solar Roof ถึงจุดคุ้มทุน (Break-even) เร็วขึ้นได้ภายในระยะเวลาเพียง4-5 ปี
ครั้งแรกในไทย! IONEnergy ได้ร่วมกับ แสนสิริซึ่งเป็นพาร์ทเนอร์ในกลุ่มอสังหารายใหญ่ที่สุดของธุรกิจ ION Solar Roof ในการเดินหน้านำนวัตกรรมใหม่กับ 2-in-1 solar roof tile กระเบื้องลอนโซล่าร์ ตั้งเป้าติดตั้งใน
คลับเฮาส์โครงการลักซ์ชัวรี่บ้านแสนสิริ บางนา ในปี 2024 นอกจากนี้ ยังได้ร่วมกับแสนสิริและพันธมิตรด้านพลังงาน ทำ R&Dพัฒนาแบตเตอรี่เก็บไฟจากพลังงานสะอาดในบ้านภายในปี 2030ในราคาที่เข้าถึงได้ จากปัจจุบันที่ยังมีราคาสูงมากตลอดจนลูกบ้านแสนสิริ สามารถบริหารจัดการปริมาณการใช้ไฟฟ้าจาก Solar Roof แบบ Real-time ผ่านแอพ Sansiri Home Service ที่สามารถตรวจเช็คจำนวนการผลิตไฟฟ้าคำนวณและประเมินการใช้ไฟฟ้า คำนวณการช่วยประหยัดพลังงานคำนวณเทียบเท่าการปลูกต้นไม้ และลดปริมาณคาร์บอนดูการทำงานของระบบ และระบบแจ้งตือนการซ่อมที่เตรียมพัฒนาระบบในอนาคต
พีระภัทร ศิริจันทโรภาส กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชาร์จ แมเนจเม้นท์ จำกัด (SHARGE) ผู้นำด้านการสร้าง EV Charging Ecosystemเผยว่า “12.6% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในทั่วโลก มาจากภาคการเดินทางและขนส่ง ดังนั้น เทรนด์ของการใช้รถ EVCar ยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากดีมานด์ความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้นเพราะเป็นเทรนด์ที่จะมาสร้างการเปลี่ยนแปลงด้านพฤติกรรมผู้ใช้รถยนต์ทั่วโลกที่จะนำไปสู่การปฏิวัติสิ่งแวดล้อมให้ดีขึ้นได้อีกทางหนึ่ง โดยเฉพาะในประเทศไทยของเราที่มีปัญหาด้านการจราจรและส่งผลให้เกิด PM 2.5 ต่อเนื่องมาหลายปีเพื่อมุ่งสู่เป้าพันธกิจ Net-Zero ร่วมกันกับแสนสิริ SHARGE ได้ยกระดับการติดตั้ง EV Charger ในทุกโครงการของแสนสิริด้วยการนำมาตรฐานการติดตั้งระบบ EV Chargerที่ได้จากการจับมือกับแบรนด์ค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่ระดับโลกอย่าง BYD หรือปอร์เช่ มาปรับใช้ พัฒนา user-experience ใน ecosystem ของฟังก์ชั่น SHARGE ใน Sansiri Home Service Application ด้วย Customer Insight จากฐานข้อมูลผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าจำนวนกว่า 10,000 คัน นอกจากนี้ ลูกบ้านแสนสิริ ยังสามารถเดินทางได้อย่างสะดวกสบายไร้รอยต่อและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่โลกกับจุดชาร์จรถ EV Charging Station ภายใต้ความร่วมมือกับพันธมิตรชั้นนำของ SHARGE ที่มีสาขาครอบคลุมทั่วทั้งประเทศไทย”