(i) แม้จะอยู่ในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัวและประสบกับภาวะผลกำไรลดลงมาเป็นเวลากว่าทศวรรษ แต่ภาคธนาคารไทยนั้นยังคงมีรากฐานที่แข็งแกร่ง และมีโอกาสที่จะพลิกกลับขึ้นมาเป็นผู้นำระดับภูมิภาคได้อีกครั้ง
(ii) McKinsey เผย 10 แนวทางสำคัญ ภายใต้ 4 วาระการเปลี่ยนแปลงซึ่งธนาคารไทยสามารถนำไปปรับใช้ เพื่อกลับมาสร้างการเติบโตและเพิ่มผลกำไรได้
McKinsey ออกรายงานฉบับใหม่ภายใต้หัวข้อ ‘กำหนดอนาคตอุตสาหกรรมธนาคารไทย: สร้างเป้าหมายใหม่เพื่อจุดประกายการเติบโต’ (Shaping the future of Thai banking: Reinventing purpose to ignite growth) ที่เน้นย้ำถึงความเร่งด่วนของภาคธนาคารที่จำเป็นต้องปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป และการเตรียมความพร้อม รวมถึงเตรียมศักยภาพขององค์กรต่อสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เพื่อกระตุ้นการเติบโตและสร้างผลกำไรที่ดีขึ้น ด้วยการกำหนดเป้าหมาย และวัตถุประสงค์ใหม่อย่างตรงจุด
รายงานดังกล่าวได้เขียนขึ้นในช่วงที่ภาคธนาคารของไทยเดินทางมาถึงจุดเปลี่ยนสำคัญ โดยราคาหุ้นของธนาคารไทยมีการซื้อขายต่ำกว่าหุ้นอื่นๆ ในตลาดอย่างมีนัยสำคัญ โดยธนาคาร 5 อันดับแรกมีอัตราส่วน Price to Book (P/B) อยู่ที่ 0.7 เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยหุ้นทั้งหมดที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่อยู่ที่ 1.8
ในส่วนของระดับภูมิภาค สัดส่วนมูลค่าตลาดของธนาคารในประเทศไทยจากมูลค่าตลาดรวมของธนาคารในอาเซียนลดลงจากร้อยละ 16 ในปี 2552 เหลือเพียงร้อยละ 9 ในปี 2564 ซึ่งทำให้ธนาคารจากอินโดนีเซีย เวียดนาม และฟิลิปปินส์ขึ้นมาอยู่ในรายชื่อธนาคารที่มีมูลค่าสูงสุด 15 อันดับแรกในภูมิภาค แทนที่ธนาคารไทยหลายแห่ง
ขณะนี้เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับธนาคารไทยในปรับเปลี่ยนองค์กร ซึ่งสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจไทย กอปรกับการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจและวาระแห่งชาติที่มีการปรับเปลี่ยนลำดับความสำคัญ การเปลี่ยนแปลงด้านโครงสร้างประชากรของประเทศ รวมถึงพฤติกรรมของผู้บริโภค ตลอดจนโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีที่พัฒนาอย่างรวดเร็ว และการนำเทคโนโลยีมาปรับใช้
“ธนาคารไทยมีโอกาสที่จะสนับสนุนการเติบโตและการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ” วาจี๊ด อาห์เหม็ด, Partner บริษัท แมคคินซี่ แอนด์ คอมพานี (ประเทศไทย) จํากัด กล่าว “ซึ่งการที่จะบรรลุเป้าหมายนี้อย่างมีประสิทธิภาพได้นั้น ธนาคารไทยอาจพิจารณาที่จะมุ่งเน้นไปที่ 3 แนวทางสำคัญ ได้แก่ การทบทวนเป้าหมายของกลุ่มลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่ของธนาคารเพื่อให้การสนับสนุนธุรกิจในเศรษฐกิจยุคใหม่ (new economy) การส่งเสริมการเงินเพื่อความยั่งยืน เพื่อช่วยให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (net-zero) และเพิ่มการเข้าถึงเงินทุนของ SME โดยใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัล ข้อมูล และการวิเคราะห์ข้อมูล”
การไม่เริ่มเปลี่ยนแปลงจะทำให้ธนาคารไทยเผชิญความเสี่ยงสูงในอนาคต ในขณะเดียวกันหากธนาคารไทยสามารถเปลี่ยนแปลงได้สำเร็จ ก็มีแนวโน้มที่ผลตอบแทนที่ได้กลับมาจะเป็นไปในเชิงบวกเช่นเดียวกัน เพื่อให้อุตสาหกรรมธนาคารไทยยังคงความสำคัญต่อไปในทศวรรษข้างหน้า McKinsey เผย 10 แนวทางสำคัญ ภายใต้วาระการเปลี่ยนแปลง 4 ส่วน เพื่อช่วยให้ธนาคารไทยสามารถกำหนดเป้าหมายและวัตถุประสงค์ใหม่ได้อย่างตรงจุด:
ส่วนที่ 1: สนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน
- ทบทวนเป้าหมายของกลุ่มลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่ของธนาคารเพื่อส่งเสริมธุรกิจในเศรษฐกิจยุคใหม่ (new economy)
- ส่งเสริมการเงินเพื่อความยั่งยืน เพื่อสนับสนุนให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (net-zero)
- เพิ่มการเข้าถึงเงินทุนของ SME โดยใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัล ข้อมูล และการวิเคราะห์ข้อมูล
ส่วนที่ 2: สร้างโมเดลธุรกิจที่มีความคล่องตัวและเฉพาะทาง
- สร้างโมเดลธุรกิจการบริหารความมั่งคั่งเฉพาะทางสำหรับกลุ่มลูกค้าที่แตกต่างกัน
- เชี่ยวชาญด้านบริการสินเชื่อเพื่อลูกค้ารายย่อยในยุคดิจิทัล
- แสวงหาพันธมิตรใหม่ๆ เพื่อสร้างธนาคารยุคใหม่ ที่เน้นการสร้างระบบนิเวศ และแพลตฟอร์ม โดยมีลูกค้าเป็นศูนย์กลาง
ส่วนที่ 3: พัฒนาประสบการณ์ของลูกค้าและพนักงานด้วยนวัตกรรม เพื่อตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไป
- ให้ข้อเสนอและประสบการณ์ใหม่ๆ ให้แก่ลูกค้าในรูปแบบที่ปรับแต่งได้ตามความต้องการของแต่ละบุคคล (Personalization at scale)
- ปรับเปลี่ยนวิธีการทำงาน และสร้าง Value Proposition สําหรับพนักงานอย่างเหมาะสม
ส่วนที่ 4: สร้างความพร้อมและศักยภาพขององค์กรสำหรับอนาคต
- เร่งนำเทคโนโลยีใหม่มาปรับใช้
- เสริมความปลอดภัยในโลกไซเบอร์เพื่อต่อสู้กับ “ด้านมืด” ของโลกดิจิทัล
“ปัจจุบันธนาคารไทยถือว่ากำลังอยู่ในจุดที่ต้องตัดสินใจ” เรนนี่ โทมัส, Senior Partner และ Asia Banking Practice Leader บริษัท แมคคินซี่ แอนด์ คอมพานี (ประเทศไทย) จํากัด กล่าว “หากภาคธนาคารไทยสามารถเริ่มลงมือเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็วและเด็ดขาด ก็มีแนวโน้มที่จะทำให้ธนาคารไทยสามารถกลับขึ้นมาเป็นผู้นำระดับภูมิภาคได้อีกครั้ง การรับแนวทางใหม่มาปรับใช้ นำเสนอบริการที่เป็นนวัตกรรมใหม่ รวมถึงสร้างความสามารถและศักยภาพในการปรับใช้เทคโนโลยีดิจิทัล จะทำให้ธนาคารไทยมีความพร้อมมากขึ้นในการเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ด้านโครงสร้างประชากร ความต้องการของผู้บริโภค และโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีที่พัฒนาอย่างรวดเร็ว การไม่ลงมือทำอาจมีความเสี่ยง แต่ผลตอบแทนที่อาจเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงที่ประสบความสำเร็จนั้นก็มีโอกาสที่จะเป็นผลตอบแทนที่น่าพึงพอใจเช่นกัน”
สำหรับข้อมูลเชิงลึกเพิ่มเติม สามารถดูรายงานฉบับเต็มที่นี่