มหาเศรษฐีในจีนดูลู่ทางซื้อสินทรัพย์ต่างแดนเพิ่มมากขึ้น หลังสภาวะในประเทศไม่เป็นใจ

ภาพจาก Shutterstock

เหล่ามหาเศรษฐีในประเทศจีนเริ่มหันมาสนใจในการลงทุนที่ต่างประเทศอีกครั้ง แต่ครั้งนี้กลับแตกต่างออกไป เนื่องจากปัญหาเศรษฐกิจในประเทศ รวมถึงนโยบายเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน ที่สร้างความไม่แน่นอนให้กับมหาเศรษฐี จึงทำให้มีการกระจายความเสี่ยงไปยังต่างประเทศ โดยประเทศที่ดูลู่ทางคือสหรัฐอเมริกา รวมถึงญี่ปุ่น

สำนักข่าว Reuters รายงานข่าวว่ามหาเศรษฐีในประเทศจีนหลายคนนั้นเริ่มเตรียมดูลู่ทางลงทุนในต่างประเทศอีกครั้ง ซึ่งแตกต่างจากในอดีต เนื่องจากสาเหตุสำคัญก็คือสภาวะในประเทศจีนไม่ว่าจะเป็นทั้งเศรษฐกิจและการเมืองนั้นไม่เป็นใจให้กับเหล่ามหาเศรษฐีเหล่านี้มากนัก และมองว่าสินทรัพย์ในต่างประเทศจะเพิ่มรายได้และลดความเสี่ยงระยะยาวให้กับพวกเขาเหล่านี้

ปัญหาสำคัญที่ทำให้มหาเศรษฐีเหล่านี้ต้องดูลู่ทางในการลงทุนที่ต่างประเทศคือ ปัจจัยเศรษฐกิจภายในประเทศจีน ไม่ว่าจะเป็นนโยบายโควิดเป็นศูนย์ที่ส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของประชาชน จนในท้ายที่สุดมีการประท้วงตามเมืองต่างๆ เพื่อที่จะให้รัฐบาลยกเลิกนโยบายดังกล่าว

ขณะเดียวกันจีนยังมีนโยบายความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน (Common Prosperity) ที่รัฐบาลตั้งใจที่จะลดความเหลื่อมล้ำระหว่างคนจนกับคนรวย รวมถึงความไม่แน่นอนจากนโยบายเศรษฐกิจอื่นๆ ของรัฐบาลจีนที่เพิ่มสูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเข้ามาจัดการในกลุ่มบริษัทเทคโนโลยี เป็นต้น

ผลจากสภาวะเศรษฐกิจในประเทศจีน และผลตอบแทนจากตลาดหุ้นในประเทศจีนที่ถดถอย ทำให้ท้ายที่สุดแล้วเหล่ามหาเศรษฐีจึงต้องเลือกที่จะกระจายความเสี่ยงอีกครั้ง โดยการลงทุนในต่างประเทศที่มหาเศรษฐีจีนสนใจก็คือสหรัฐอเมริกา ซึ่งสนใจทั้งอสังหาริมทรัพย์ หุ้นทั้งในตลาดหลักทรัพย์รวมถึงบริษัทที่อยู่นอกตลาดหลักทรัพย์

นอกจากนี้สำนักงานครอบครัว (Family Office) ที่ดูแลด้านการลงทุนให้กับมหาเศรษฐีจีนเริ่มติดต่อบริษัทที่บริหารกองทุนถึงนโยบายเศรษฐกิจสหรัฐ ไปจนถึงกฎระเบียบด้านการลงทุนในสหรัฐอเมริกาอีกด้วย

ไม่ใช่แค่สหรัฐอเมริกาที่เหล่ามหาเศรษฐีจีนได้ดูลู่ทางเท่านั้น แต่ประเทศญี่ปุ่นก็เป็นอีกเป้าหมายอีกแหล่งด้วย

ก่อนหน้านี้เหล่ามหาเศรษฐีจีนเคยออกตะลุยในการซื้อสินทรัพย์ในต่างประเทศในช่วงประธานาธิบดี สี จิ้นผิง เข้ารับตำแหน่งใหม่ๆ อย่างไรก็ดีการเข้าลงทุนในต่างประเทศของเหล่ามหาเศรษฐีจีนนี้เพื่อที่จะขยายธุรกิจออกนอกประเทศ แต่ในครั้งนี้กลับเป็นตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง