- รุกแผน 5 ปีต่อเนื่องพัฒนา ‘Retail-Led Mixed-Use Development’ เตรียมเปิด 2 โครงการใหม่ในปีนี้ ได้แก่ ‘เซ็นทรัลเวสต์วิลล์’ และ ‘Marché Thonglor’
- ไตรมาส 4 เปิดให้บริการโรงแรมใหม่ ‘GO! Hotel’ บ่อวิน ชลบุรี โครงการที่อยู่อาศัย 5 โครงการและ ‘at work’ at centralwOrld Offices ตามแผนขยายทุกธุรกิจเติบโตทั่วประเทศ
บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ ‘CPN’ รายงานผลประกอบการประจำปี 2565 เติบโตทะลุเป้า ฟื้นตัวกลับมาเกือบเทียบเท่าปี 2562 ช่วงก่อนวิกฤตโควิด-19 โดยปี 2565 บริษัทฯมีรายได้รวม 37,155 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28% จากปีก่อน และกำไรสุทธิ 10,760 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 51% จากปีก่อนพร้อมเดินหน้าลงทุนพัฒนาโครงการในรูปแบบ retail-led mixed-use development ที่ประกอบด้วย ศูนย์การค้า ที่อยู่อาศัย อาคารสำนักงาน และโรงแรม โดยในไตรมาส 4/2565 ได้เปิดตัวโครงการใหม่ได้แก่ โรงแรม ‘GO! Hotel’ บ่อวิน ชลบุรี และ ‘at work’ at centralwOrld Offices พื้นที่ flex space for work and lifestyle purposes สำหรับตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ hybrid work และในปีนี้เตรียมเปิดโครงการใหม่ได้แก่ ‘Marché Thonglor’คอมมูนิตี้มอลล์ที่ดีที่สุดในย่านทองหล่อในเดือนมีนาคม 2566 และ ‘เซ็นทรัล เวสต์วิลล์’ ที่จะพลิกโฉมย่านราชพฤกษ์ยกระดับสู่ Upper-Class Lifestyle ของกรุงเทพฯตะวันตก ในไตรมาส 4 ปี 2566 นอกจากนี้ ยังมีโครงการมิกซ์ยูสโมเดลใหม่ที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง ได้แก่ ‘เซ็นทรัล นครสวรรค์’ และ ‘เซ็นทรัล นครปฐม’ ที่จะเปิดให้บริการประมาณ ไตรมาส 1-2 ปี 2567
นางสาวนภารัตน์ ศรีวรรณวิทย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการเงิน บัญชี และบริหารความเสี่ยงของเซ็นทรัลพัฒนา กล่าวว่า “ผลประกอบการประจำปี 2565 ของบริษัทฯ ฟื้นตัวดีต่อเนื่องกลับมาสู่ระดับใกล้เคียงกับปี 2562 ก่อนเกิดวิกฤตโควิดด้วยปัจจัยบวกจากการฟื้นตัวต่อเนื่องของเศรษฐกิจไทยการจับจ่ายใช้สอยของประชาชนในช่วงปลายปีที่กลับมาคึกคัก และตัวเลขนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งมาตรการช่วยเหลือและกระตุ้นการจับจ่ายของทั้งภาครัฐและเอกชน โดยเซ็นทรัลพัฒนา ก็ได้จัดแคมเปญส่งท้ายปีอย่างยิ่งใหญ่ สร้างปรากฏการณ์ระดับโลกณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลทั่วประเทศ เพื่อดึงดูดทราฟฟิก ส่งเสริมยอดขายให้กับผู้เช่าและพันธมิตร และเป็นการคืนกำไร มอบความสุขให้ลูกค้าทั้งคนไทยและนักท่องเที่ยวอาทิ แคมเปญ Embracing Happiness 2023 ที่จับมือกับพันธมิตรระดับโลก LINE FRIENDS และงาน Bangkok & Thailand CountdOwn 2023 เอ็นเตอร์เทนเมนต์เคาท์ดาวน์ระดับโลกที่ดีที่สุด จนได้รับการขนานนามเปรียบเป็น Time Square of Asia ซึ่งทั้ง 2 งานได้รับกระแสตอบรับดีอย่างล้นหลาม อีกทั้งบริษัทฯ ยังคงบริหารจัดการต้นทุน ค่าใช้จ่ายต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพเพื่อรักษาความสามารถในการทำกำไรสูงสุดอีกด้วย ที่สำคัญ บริษัทฯ ได้เดินหน้าขยายธุรกิจในรูปแบบ “Retail-Led Mixed-Use Development” ได้สำเร็จตามแผน โดยในไตรมาส 4 ปี 2565 ได้เปิดตัวโครงการใหม่ ได้แก่ โรงแรม GO! Hotel บ่อวิน ชลบุรี Premium Budget Hotel ด้วยมาตรฐานความสะดวกสบายครบครัน และบริการที่ได้มาตรฐานในราคาคุ้มค่า ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์การเดินทาง โลเคชั่นอยู่ติดกับโรบินสัน ไลฟ์สไตล์ รวมทั้งเปิดขายโครงการที่อยู่อาศัย 5 โครงการ ได้แก่ คอนโดแนวสูง ESCENTVILLE ฉะเชิงเทราสุพรรณบุรี และ ESCENT ตรัง และโครงการบ้านเดี่ยว 2 โครงการคือ NIRATI เชียงใหม่ และ NINYA ราชพฤกษ์ อีกทั้งเปิดให้บริการ ‘at work’ ที่อาคารเซ็นทรัลเวิลด์ ออฟฟิศ ซึ่งเป็นพื้นที่ flex space for work and lifestyle purposes ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ hybrid work ยุคใหม่ด้วย facilities ที่อำนวยความสะดวกสำหรับการทำงานครบครัน พร้อมพื้นที่อเนกประสงค์สำหรับจัดงานอีเว้นต์ทุกรูปแบบ อาทิ งานสัมมนา Workshop Townhall Art Exhibitions และงานแถลงข่าว เป็นต้น
สำหรับโครงการใหม่ เตรียมเปิดในปีนี้ ได้แก่ ‘เซ็นทรัล เวสต์วิลล์’ มูลค่ารวมกว่า 6,200 ล้านบาท ในคอนเซ็ปต์ “The Evolution of Semi-Outdoor Retail Model” ต่อยอดความสำเร็จของโครงการรูปแบบ Semi-Outdoor ที่ผสมผสานพื้นที่สีเขียวเข้ากับศูนย์การค้า เพิ่ม Green Park แห่งใหม่ให้เมือง เตรียมพลิกโฉมย่านราชพฤกษ์ ปั้นสู่ย่าน Upper-Class Lifestyle ของกรุงเทพฯตะวันตกเจาะทาร์เก็ตกำลังซื้อสูงกลุ่ม Affluent & Quality Lifestyle เตรียมเปิดในไตรมาส 4 2566 นี้และคอมมูนิตี้มอลล์ ‘Marché Thonglor’ (Market Place Thonglorเดิม) ที่จะตอบโจทย์การใช้ชีวิตที่ดีที่สุดในย่านทองหล่อเปิดให้บริการในเดือนมีนาคม 66 นี้ นอกจากนี้ ยังมีอีก 2 โครงการมิกซ์ยูสโมเดลใหม่ ‘เซ็นทรัล นครสวรรค์’ และ ‘เซ็นทรัล นครปฐม’ รวมมูลค่า 14,000 ล้านบาท ที่จะเปิดให้บริการประมาณ ไตรมาส 1-2 ปี 2567 โดยตั้งเป้าให้ทั้ง 2 โครงการ ปั้นเมืองศักยภาพแห่งใหม่ ยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คน พร้อมทั้งพาคู่ค้าเติบโตขยายสาขาไปทั่วประเทศทั้งนี้ในปี 2566 บริษัทฯ อยู่ในระหว่างการศึกษาการให้เช่าสินทรัพย์เพิ่มเติมแก่กองทรัสต์ CPNREIT ซึ่งบริษัทฯ วางแผนที่จะดำเนินการในครึ่งหลังของปี 2566 โดยรายละเอียดจะมีการแจ้งเพิ่มเติมในลำดับถัดไป
ในปี 2565 เซ็นทรัลพัฒนา ยังตอกย้ำการเป็นองค์กรยั่งยืนระดับโลก โดยได้รับเลือกเป็นสมาชิกดัชนีความยั่งยืนระดับโลก DJSI World ต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 และในกลุ่ม DJSI Emerging Markets ต่อเนื่องเป็นปีที่ 9 และได้รับมาตรฐานความยั่งยืน GRESB (Global Real Estate SustainabilityBenchmark) ระดับ Green Star หมวด Management และ Development ซึ่ง GRESB เป็นมาตรวัดความยั่งยืนของธุรกิจในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่ได้รับการยอมรับในระดับโลกไม่เพียงเท่านี้ ยังคว้ารางวัลความเป็นเลิศรอบด้านทั้งในระดับเอเชียและระดับประเทศ รวม 8 รางวัล ด้านการบริหารจัดการการสื่อสารการตลาดการพัฒนาสินค้าและบริการการพัฒนาโครงการการบริหารทรัพยากรบุคคลการพัฒนาอย่างยั่งยืนและการประหยัดพลังงานตอกย้ำการเป็นผู้นำอสังหาริมทรัพย์ที่ดำเนินธุรกิจด้วยความเป็นเลิศรอบด้านพร้อมใส่ใจดูแลทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ทั้งชุมชน สังคมและสิ่งแวดล้อมให้ได้รับการพัฒนาและเติบโตอย่างยั่งยืน สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ Imagining better futures for all
ปัจจุบัน เซ็นทรัลพัฒนาบริหารจัดการศูนย์การค้ารวมทั้งหมด 39โครงการ ได้แก่ศูนย์การค้าเซ็นทรัล 37 แห่ง (ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล 15 โครงการต่างจังหวัด 21 โครงการ และในมาเลเซีย 1 โครงการ) ศูนย์การค้าเอสพลานาด 1 แห่ง และศูนย์การค้าเมกา บางนา (ภายใต้กิจการร่วมค้าอีก 1 แห่ง)และคอมมูนิตี้ มอลล์ 17โครงการมีพื้นที่ให้เช่าสุทธิรวม 2.3 ล้านตารางเมตร นอกจากนี้ ยังบริหารศูนย์อาหาร 33 แห่ง อาคารสำนักงาน10 อาคาร โรงแรม4 แห่ง โครงการที่พักอาศัย 28 โครงการ ประกอบด้วยคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ ESCENT, ESCENT VILLE, ESCENT PARK VILLE, PHYLL และ BELLE GRAND RAMA 9 และโครงการแนวราบภายใต้แบรนด์ ESCENT TOWN (ทาวน์โฮม) ESCENT AVENUE (โฮมออฟฟิศ) NINYA (บ้านแฝด) NIYAM (บ้านเดี่ยวระดับลักชูรี่) และโครงการแนวราบหลากหลายรูปแบบภายใต้แบรนด์ NIRATIที่เชียงใหม่ เชียงราย บางนา และดอนเมืองนอกจากนี้ ยังมีโครงการ “ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค” big project ที่ร่วมพัฒนากับบริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) ซึ่งจะทยอยเปิดให้บริการในปี2567 เป็นต้นไป
สำหรับทิศทางธุรกิจในระยะ 5 ปี (ปี 2565-2569) บริษัทฯ เดินหน้าลงทุนพัฒนาโครงการใหม่ทั้งที่ประกาศไปแล้วและยังไม่ได้ประกาศ ซึ่งมีทั้งโครงการอสังหาริมทรัพย์แบบผสม (Retail-Led Mixed-use Development) โครงการโรงแรมและที่พักอาศัยรวมถึงแผนการปรับปรุงสินทรัพย์ที่มีอยู่ในปัจจุบันเพื่อเพิ่มมูลค่า รวมทั้งบริหารจัดการค่าใช้จ่ายและลดต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาสภาพคล่องทางการเงิน เพื่อเตรียมพร้อมกับสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนรวมทั้งยังคงศึกษาโอกาสการลงทุนธุรกิจในรูปแบบอื่น การเข้าซื้อกิจการ และการลงทุนในต่างประเทศในแถบภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อาทิ มาเลเซีย และเวียดนาม รวมถึงศึกษาโอกาสการลงทุนในธุรกิจใหม่ที่มีศักยภาพการเติบโตสูงเพื่อขยายช่องทางในการสร้างรายได้ใหม่และสอดคล้องกับแผนการเติบโตตามเป้าหมายในอนาคตอย่างมั่นคงและยั่งยืน