แมคฟิว่า เดินหน้าจัดเตรียมจัดงาน SEAT Conference 2023 สุดยิ่งใหญ่ เผย 5 เทรนด์ เทคโนโลยีแห่งปี 2023 ชี้ Deep Tech เติบโตอย่างต่อเนื่อง ชวนภาคธุรกิจ-ผู้ประกอบการไทยร่วมงาน ในวันที่ 28-29 มี.ค. นี้ !

เตรียมตัวให้พร้อมกับงาน SEAT 2023 : Southeast Asia Technology Conference 2023 งานสัมมนาสุดเอ็กซ์คลูซีฟ ที่รวมเหล่าผู้เชี่ยวชาญและนักลงทุนระดับโลก รวมถึงผู้บริหารและเจ้าของกิจการระดับประเทศ หลังได้ผลตอบรับดีเกินคาด พร้อมเปิดโอกาสกระทบไหล่กันอย่างใกล้ชิด ในวันที่ 28-29 มีนาคม นี้ ณ Gaysorn Urban Resort – The Crystal Box กรุงเทพฯ

โดยจุดเด่นของงาน SEAT Conference 2023 คือการรวบรวมเอาเทคโนโลยีแห่งอนาคตของทุกอุตสาหกรรมไว้ในที่เดียว ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ClimateTech, Entertainment, Metaverse, FinTech, HealthTech, AgriTech, Venture Capital, FoodTech, Iot&Harware เป็นต้น

นางสาววรัชญา อุรุพงศา Chief Digital Officer (CDO) บริษัท แมคฟิว่า จำกัด กล่าวว่า “ในปีนี้ที่เราจัดงาน SEAT Conference 2023 อีกครั้ง เพราะเล็งเห็นถึงในเรื่อง Deep Tech ยังคงมีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด จึงทำให้มีเทรนด์เกิดขึ้นใหม่อย่างสม่ำเสมอ นำไปสู่โอกาสในการสร้างธุรกิจแนวใหม่ รวมถึงมีผู้สนใจลงทะเบียนเข้าร่วมงานก่อนที่จะเริ่มประชาสัมพันธ์จำนวนมาก จากทั้งผู้บริหาร ภาคธุรกิจ สตาร์ทอัพ และผู้สนใจในแวดวงเทคโนโลยีจากต่างประเทศ ยิ่งสะท้อนถึงผลตอบรับที่ดีจากปี 2022 รวมถึงภาพรวมของทุกภาคส่วนที่กำลังตื่นตัวกับการอัพเดตเทรนด์ด้านเทคโนโลยีที่มีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงโลกขณะนี้”

นางสาวพิรีญา วิริยะพันธุ์ Chief Operating Officer (COO) บริษัท แมคฟิว่า จำกัด กล่าวเสริมว่า “ด้วยเป้าหมายที่เราอยากผลักดันไทยให้ก้าวไปสู่การเป็นท็อป 5 ของเอเชียในด้านเทคโนโลยีให้ได้ จึงคงคอนเซ็บของงานที่เป็นเอ็กซ์คลูซีฟแบบ Invited-Only โดยเราจะเชิญสุดยอดผู้บริหาร เจ้าของกิจการทั้งในและต่างประเทศและคัดเลือกจากกลุ่มเป้าหมายที่สมัครเข้ามา โดยเชื่อว่าหลังการจัดงานครั้งนี้เสร็จสิ้น น่าจะมีส่วนสำคัญในการยกระดับ Tech Ecosystem ของภูมิภาค พร้อมทั้งช่วยให้ผู้บริหารไทยได้รับรู้ถึงมุมมองใหม่ๆที่อาจคาดไม่ถึง พร้อมรับมือกับ Global Technology ได้มากขึ้น”

ในส่วนของไฮไลท์วิทยากรระดับโลกที่จะเข้าร่วมงาน อาทิเช่น

  • Chris Teh ผู้ร่วมก่อตั้ง Blitzscaling Academy เจ้าของผลงาน Blitzscaling The Lightning-Fast Path to Building Massively Valuable Companies ‘กลยุทธ์เติบโตแบบสายฟ้าแลบ’
  • Masaya Kubota Partner at World Innovation Lab (WiL) ผู้ลงทุน VC Fund อันดับ 1 ในประเทศญี่ปุ่น มูลค่ากว่า 30,000 ล้านบาท
  • Gabe Sibley Founder and CEO ,Verdant Robotics ผู้นำการผลิตหุ่นยนต์ ที่จะทรานส์ฟอร์มวงการ AgriTech และสามารถระดมเงินทุนได้ไปกว่า 1,000 ล้านบาท
  • Benjamin Rolnik Director, Stanford Healthcare Innovation Lab ผู้ที่จะเข้ามาพลิกโฉมวงการแพทย์ด้วยเทคโนโลยี ที่รักษาโรคได้อย่างแม่นยำ และเข้าถึงง่ายในราคาที่เข้าถึงได้
  • Dr. Sebastian Rakers CEO, Bluu Seafood ผู้นำเทคโนโลยีที่คิดค้นการผลิตปลาทูน่าโดยที่ไม่ใช้เนื้อปลาแต่เป็นเพาะเซลล์
สำหรับไฮไลท์ของงาน SEAT Conference 2023 ที่พลาดไม่ได้ อาทิ

  • World Class Speakers จากทั่วทุกมุมโลกกว่า 30 ราย
  • Invited Only Attendee ผู้ร่วมงานจะถูกเชิญเท่านั้น โดยเป็น Top tier executives ชื่อดังจากไทยและทั่วโลก
  • Networking & Business Matching พูดคุยกับผู้มีชื่อเสียงระดับโลกหลากหลายอุตหกรรม และโอกาสในการจับคู่ทางธุรกิจจัดงานร่วมกับพันธมิตรอย่าง Denso, Gaysorn Group, RISE, SeaX Ventures

นอกจากนี้ภายในงานแถลงข่าวเตรียมความพร้อมจัดงาน SEAT Conference 2023 ยังเปิดเวทีสัมมนา ภายใต้หัวข้อ “Tech Growth & Trends for 2023” และ “Deep tech ecosystem in Thailand and beyond” สรุป 5 เทรนด์เทคโนโลยีแห่งปี 2023 และทิศทางเทคโนโลยีพร้อมการรับมือสำหรับนักธุรกิจและสตาร์ทจากตัวจริงในวงการเทคโนโลยี ในงานแถลงข่าว SEAT Conference 2023 โดย นางสาววรัชญา อุรุพงศา Chief Digital Officer (CDO) บริษัท แมคฟิว่า จำกัด ได้เผยถึง 5 เทรนด์เทคโนโลยีแห่งปี 2023 กับแนวทางปรับตัวของภาคธุรกิจ – ผู้ประกอบการไทย ดังต่อไปนี้

  1.  Artificial Intelligence (AI) And Machine Learning (Ml) ด้วยความพร้อมของข้อมูลและความต้องการระบบอัตโนมัติที่เพิ่มขึ้น จะได้เห็นโซลูชั่นที่ขับเคลื่อนด้วย AI และ MI มากขึ้นในหลากหลายอุตสาหกรรม โดยอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มการใช้ AI และ MI มาแรงในปีนี้ ได้แก่
    – Healthcare ด้านการดูแลสุขภาพ มีการค้นคว้ายาเฉพาะบุคคล ความแม่นยำในการวินิจฉัยโรคและรักษาผู้ป่วยมากขึ้น
    – SME ด้านธุรกิจ ในอนาคตเทคโนโลยีนี้ทำให้ไม่ต้องใช้แรงงานผู้คน Chatbot ที่มาตอบแทนคนจะฉลาดขึ้น การวิเคราะห์คาดการณ์หรือบริหารสต็อกได้ดีขึ้น รวมไปถึงระบบจะจัดการหลังบ้านให้ทั้งหมด
    – Autonomous Vehicles จะเห็นได้จากยอดจองรถ EV เติบโตขึ้นมาก เทคโนโลยีเซ็นเซอร์และอัลกอริทึมที่นำมาใช้กับยานพาหนะจะดีขึ้นและการเชื่อมต่อระบบภายในจะสมูทขึ้น
    – Education ด้านการศึกษา มีการปรับแต่งการเรียนรู้และปรับปรุงผลการเรียนของนักเรียนเฉพาะตามบุคคล มีการให้คะแนนอัตโนมัติ ครูและนักเรียนจะมีชีวิตที่ดีขึ้น การเรียนรุ้จะสนุกขึ้น
  2. 5G Network เครือข่าย 5G จะสามารถเชื่อมต่อไม่ติดขัดเมื่อย้ายไปมาระหว่างการเชื่อมต่อไร้สายภายนอกอาคารกับเครือข่ายไร้สายภายในอาคารโดยที่ผู้ใช้ไม่ต้องดำเนินการใด โดยจะมีอุปกรณ์และแอปพลิเคชั่นจำนวนมากขึ้นที่ใช้ประโยชน์จากความเร็วที่เพิ่มขึ้น โดยอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มเติบโตบนเครือข่าย 5G มาแรงในปีนี้ ได้แก่
    – 5G Devices เมื่อเครือข่าย 5G ครอบคลุมมากขึ้น เราคาดว่าจะเห็นการใช้งานอุปกรณ์ 5G เพิ่มขึ้น ผู้ผลิตจะยังคงเปิดตัวอุปกรณ์ใหม่ที่รองรับ 5G และผู้บริโภคจะสามารถใช้ประโยชน์จากความเร็วที่เร็วขึ้น
    – New Use Case การเปิดใช้งานใหม่ที่เคยใช้ไม่ได้ก่อนหน้าปี 2023 เช่น แอปพลิเคชันความจริงเสริม (AR) และความจริงเสมือน (VR) เมืองอัจฉริยะ และยานพาหนะที่เชื่อมต่อถึงกัน
    – Private 5G Network นอกจากเครือข่าย 5G สาธารณะแล้ว จะเห็นการใช้งานในองค์กรมากขึ้น เครือข่าย 5G ส่วนตัวช่วยเพิ่มความปลอดภัยและความน่าเชื่อถือ ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมการผลิต โลจิสติกส์ และการดูแลสุขภาพ เป็นต้น
  3. Internet of things (IoT) โดยมีบ้านและธุรกิจจำนวนมากขึ้นที่ใช้อุปกรณ์เชื่อมต่อ สิ่งนี้จะสร้างโอกาสใหม่สำหรับธุรกิจในการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลและปรับปรุงการดำเนินงาน ซึ่งในปัจจุบันอุตหกรรมที่ใช้อย่างเห็นได้ชัด คือ โรงพยาบาลใช้เซ็นเซอร์ที่เชื่อมต่อกันมากขึ้นเพื่อตรวจสอบผู้ป่วยจากระยะไกล ทำให้แพทย์สามารถวินิจฉัยได้รวดเร็วขึ้นจากที่บ้านหรือทุกที่ที่เกิดขึ้น, เมืองอัจฉริยะ ที่ออกแบบมาเพื่อทำให้เมืองทำงานได้ดีขึ้น เพิ่มคุณภาพชีวิตของประชาชน เช่น เมื่อใช้ IoT สัญญาณไฟจราจรและกล้องที่เชื่อมต่อกันจะสามารถรับรู้ได้เมื่อมีรถมากเกินไปและปรับสัญญาณไฟโดยอัตโนมัติเพื่อให้จราจรคล่องตัวได้ดี, การผลิตและอุตสาหกรรมลดการใช้พลังงานและให้การวิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์ มีแจ้งเตือนเมื่ออุปกรณ์ต้องมีการบำรุงรักษา เป็นต้น โดยอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มการใช้ IoT มาแรงในปีนี้ ได้แก่
    – การใช้งาน IoT ที่เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากธุรกิจและผู้บริโภคจำนวนมากขึ้นต้องการใช้ประโยชน์เพื่อใช้ชีวิตที่ง่ายขึ้น สิ่งนี้จะขับเคลื่อนพัฒนาแอปพลิเคชัน IoT ใหม่
    – การใช้ Edge Computing มากขึ้น เพื่อการประมวลผลข้อมูลที่เร็วขึ้นผ่านคราวด์ ปลอดภัยและรวดเร็ว
    – Convergence ระหว่าง IoT และ AI : การใช้ AI สามารถช่วยปรับปรุงการประมวลผลและการวิเคราะห์ข้อมูล IoT เช่น การบำรุงรักษาเชิงคาดการณ์และการวิเคราะห์ตามเวลาจริง
    – การพัฒนาแพลตฟอร์ม IoT มีมาตรฐานมากยิ่งขึ้น เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้งานที่เพิ่มมากขึ้น และจะทำไห้ IoT เติบโตมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม
    – เน้นความปลอดภัยของ IoT ที่มากยิ่งขึ้น จะได้เห็นการพัฒนามาตรฐานและโซลูชั่นการรักษาความปลอดภัยใหม่ๆ เช่น การรักษาความปลอดภัยบนบล็อกเชนและการตรวจจับภัยคุกคามบนพื้นฐาน AI เป็นต้น
  4. Blockchain เทคโนโลยีบล็อกเชนยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น จะเห็นกรณีการใช้งานในปัจจุบัน เช่น แอพ DeFi การเงินที่ไร้ตัวกลาง ทำธุรกรรมที่ปลอดภัยในขณะที่ขจัดการใช้ตัวกลางที่ช้าและมีค่าใช้จ่ายสูง เป็นการให้ยืม โอนเงินระหว่างประเทศ ลงทุน และใช้งานอื่นๆ อีกมากมาย, Healthcare บล็อกเชนเหมาะสำหรับการจัดเก็บบันทึกสุขภาพส่วนบุคคล แบ่งปันการเข้าถึงกับแพทย์และบริษัทประกันด้วยการทำธุรกรรมออนไลน์ง่ายๆ และแพทย์ที่ได้รับอนุญาตที่เหมาะสมสามารถเพิ่มข้อมูลใหม่ลงในบันทึกได้, Gaming การพัฒนาโลก Immersive และ Metaverse ใหญ่ๆ ที่ได้เบนเข็มเข้าสู่โลกแห่งเกมส์อย่างเต็มตัวในโลกของคริปโทเคอร์เรนซี, Entertainment การซื้อ NFT แบบสะสมได้เพื่อสนับสนุนศิลปิน ในขณะที่ให้สิทธิ์แฟนๆ โหวตเพลงของทีมหรือที่นั่งพิเศษในกิจกรรมต่างๆ โดยอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มการใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนมาแรงในปีนี้ ได้แก่
    – การขยายตัวทางการเงิน (DeFi) เนื่องจากผู้คนจำนวนมากตระหนักถึงประโยชน์ที่เป็นไปได้ของบริการทางการเงินแบบกระจายอำนาจ เช่น ค่าธรรมเนียมต่ำ ธุรกรรมที่รวดเร็ว และการเข้าถึงทั่วโลก
    – การยอมรับสกุลเงินดิจิทัลของธนาคารกลาง (CBDCs) เนื่องจากประเทศต่างๆ เริ่มมีการใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนสำหรับสกุลเงินดิจิทัลมากขึ้น
    – NFTs เนื่องจากอุตสาหกรรมจำนวนมากตระหนักถึงประโยชน์ที่เป็นไปได้ของการใช้ NFT สำหรับการเป็นเจ้าของดิจิทัลและการพิสูจน์ตัวตน หรือด้านการตลาดจะเห็นการนำไปใช้เป็นรูปแบบของ Membership หรือใช้เพื่อได้รับสิทธิพิเศษ
  5. Augmented Reality (AR) And Virtual Reality (VR) AR เป็นเทคโนโลยีที่นำวัตถุ 3 มิติมาจำลองเข้าสู่โลกจริงของเราจะเห็นมีการนำมาใช้ในปัจจุบัน เช่น ใช้กับการเล่นเกมส์ที่เกี่ยวกับ Location เช่น Pokemon GO หรือในพิพิธภัณฑ์ที่มีแสดงผลเป็นข้อมูลอธิบายเรื่องเล่าในงาน ส่วน VR นั้นเป็นเทคโนโลยีที่จำลองสถานที่ขึ้นมาเป็นโลกเสมือน โดยผู้ใช้สามารถโต้ตอบกับสถานที่หรือสิ่งแวดล้อมที่จำลองขึ้นมาได้ผ่านอุปกรณ์ เช่น ใช้ในการเล่นเกมส์ FPS (จำพวกยิงปืน) จะปืนจำลองให้ถือไปในระหว่างเล่น และ ตัวจำลองการเดินและวิ่งที่ผูกติดตัวเราไว้ คล้าย ๆ กับ Treadmill, ใช้ในการจำลองการฝึกขับเครื่องบินของกัปตัน, ใช้จำลองห้องภายในคอนโด เป็นต้นโดยอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มการใช้ AR และ VR มาแรงในปีนี้ ได้แก่
    –  การเติบโตอย่างต่อเนื่องของอุตสาหกรรมเกมและบันเทิง มีการพัฒนาระบบเกมให้สมจริงมากยิ่งขึ้น และความบันเทิงรูปแบบใหม่ๆที่จะเกิดขึ้น
    – ฝึกอบรมผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ มีการจำลองการผ่าตัดได้จากทางไกลและส่งข้อมูลวิธีการรักษาได้แบบเรียลไทม์
    – การเข้าถึงได้มากยิ่งขึ้นจากสมาร์ทโฟน การพัฒนาที่ทำให้ผู้ใช้งานไม่ต้องยุ่งยากในการหาซื้ออุปกรณ์เสริมเพิ่มเติมอีกต่อไป แต่สามารถใช้งาน AR&VR ได้ทันทีผ่านโทรศัพท์มือถือ
    -ความก้าวหน้าของอุปกรณ์สวมใส่ ในอนาคตแว่นตาสำหรับสวมใส่เพื่อเทคโนโลยี AR & VR อาจถูกพัฒนามากยิ่งขึ้น
    – การเติบโตอย่างต่อเนื่องของแอปพลิเคชันระดับองค์กร ในอนาคตอันใกล้นี้เทคโนโลยี AR & VR จะมีส่วนในการพัฒนาองค์กรมากยิ่งขึ้นจนส่งผลให้ หลายธุรกิจและองค์กรเริ่มนำเอาเทคโนโลยีนี้ไปปรับใช้กับธุรกิจของตน
กล่าวโดยสรุปก็คือเทรนด์เหล่านี้จะเข้ามามีบทบาทสำคัญกับธุรกิจต่างๆ ในประเทศไทยเพื่อสร้างประโยชน์มากมายในหลากหลายอุตสาหกรรและธุรกิจ SME ซึ่งหากวิเคราะห์ถึงการคาดการณ์ของตลาดการลงทุนและ CAGR% ที่เติบโตขึ้นภายใน 3 ปีนี้ สำหรับ 5 เทคโนโลยีนี้ พบว่า

  • 3 อันดับเทคโนโลยีที่มี Market size สูงสุดได้แก่ เทคโนโลยี AR&VR มูลค่า 1,400 พันล้านสหรัฐ และรองลงมาคือ Inernet of Things มูลค่า 1,300 พันล้านสหรัฐ
  • อัตราการเติบโตต่อปีแบบทบต้น (CAGR%) เป็นการคำนวณและกำหนดผลตอบแทนสำหรับการลงทุนในช่วงเวลาหนึ่ง พบว่า เทคโนโลยี 5G Network มี CAGR สูงถึง 122.3% รองลงมาคือ Blockchain มี CAGR อยู่ที่ 67.3% แม้ว่าจะมี Market size ที่ต่ำก็ตาม

นอกจากนี้ภายในงานแถลงข่าวยังมีการพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับเหล่าผู้เชี่ยวชาญชั้นนำระดับประเทศอย่างเจาะลึกเกี่ยวกับประเด็นด้านเทคโนโลยีล้ำๆ ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยและอนาคต ภายใต้หัวข้อ “Deep tech ecosystem in Thailand and beyond”

นางสาวพิรีญา วิริยะพันธ์ Chief Operating Officer จาก MCFIVA (Thailand) ได้พูดถึงที่มาที่ไป ความหมาย และความสำคัญของ “Frontier Technology และ Deep Tech เทคโนโลยีขั้นสูงที่เป็นมากกว่า Startup ที่กำลังเติบโตขึ้นในประเทศไทย”

โดยได้รับเกียรติจาก นพ. ภราดร กุลเกลี้ยง ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสมิติเวช จ.ชลบุรี, มาพูดคุยและอัปเดตเทรนด์ “Health Tech ในประเทศไทย ที่คิดค้นและนำเทคโนโลยีต่างๆ มาปรับใช้ในการรักษาและวินิจฉัยผู้ป่วยของโรงพยาบาล รวมไปถึงการสร้างห้องแลปวิจัยสำหรับการพัฒนานวัตกรรมต่างๆ ทางการแพทย์โดยเฉพาะ”

ดร. นิมิต นิพัทธ์ธรรมกุล ผู้จัดการพัฒนานวัตกรรม ฝ่ายนวัตกรรมเผื่อเศรษฐกิจ จากสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) เป็นตัวแทนของ AgriTech และ FoodTech ที่มาอัปเดตธุรกิจ Star up ในประเทศไทยกับการเติบโตภายใต้การผลักดันของภาครัฐ ที่มองว่า “Deep Tech Ecosystem ในประเทศไทยกำลังอยู่ในจุดกำลังก้าวเข้าสู่ Deep Tech ซึ่งตอนนี้อาจจะมีข้อจำกัดในเรื่องของกฎหมายและเงินทุนสนับสนุน แต่ในอนาคตข้อจำกัดเหล่านี้อาจลดลง เพราะเริ่มมีคนให้ความสนใจเกี่ยวกับนวัตกรรมมากขึ้น รวมไปถึงในประเทศไทยเราเองก็มีนักวิจัยเก่งๆ หลายคนที่พร้อมพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ ไว้ใช้สำหรับทุกๆ อุตสาหกรรม”

คุณพงศ์วุฒิ ไพรไพศาลกิจ Chief Executive Officer จาก Multiverse Expert เป็นตัวแทนของ Star up ยูนิคอร์นตัวที่ 4 ของไทย ที่นำ Data Analytics และ Martech มาพัฒนาร่วมธุรกิจให้ก้าวสู่ Deep Tech ได้อย่างประสบความสำเร็จ

ผู้ที่สนใจสามารถสมัครเพื่อรับการคัดเลือกเข้าร่วมงานและดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://seatcon.co/  หรือติดต่อสอบถามได้ที่ [email protected]