มะเร็งต่อมลูกหมากเป็นมะเร็งที่พบมากเป็นอันดับ 4 ของมะเร็งในเพศชาย จากข้อมูลของสถาบันมะเร็งแห่งชาติพบว่ามีผู้ป่วยรายใหม่กว่า 3,700 คนต่อปี ด้านกระทรวงสาธารณสุขรายงานว่าผู้เสียชีวิตด้วยโรคนี้มีมากกว่า 1,700 คนต่อปี สิ่งที่น่ากังวล คือ จำนวนผู้ป่วยมะเร็งต่อมลูกหมากยังมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องอันเนื่องมาจากประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ สถานการณ์นี้เป็นโจทย์ที่ท้าทายของวงการแพทย์ที่จะต้องเร่งพัฒนาวิธีการรักษาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
นพ.ธีระพล อมรเวชสุกิจ แพทย์ผู้ชำนาญการเฉพาะทางด้านศัลยศาสตร์ยูโรวิทยา โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กล่าวว่า ปัจจุบันเรายังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดของมะเร็งต่อมลูกหมาก แต่พบว่าปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยง คือ อายุ ยิ่งอายุมากขึ้น โอกาสเกิดก็ยิ่งสูงขึ้น โดยพบมากในผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยเรื่องพันธุกรรม ผู้ที่มีญาติสายตรงเคยเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากจะมีโอกาสเสี่ยงกว่าคนทั่วไป และปัจจัยเรื่องเชื้อชาติ ซึ่งจะพบมากในกลุ่มชายชาวตะวันตกทั้งยุโรปและอเมริกา โดยผู้ป่วยระยะแรกมักไม่แสดงอาการ แต่เมื่อมะเร็งขยายตัวจนไปกดทับท่อปัสสาวะ จะทำให้ผู้ป่วยปัสสาวะบ่อย แสบขัดขณะปัสสาวะ ปัสสาวะไม่สุด ปัสสาวะไม่พุ่ง หรือต้องใช้เวลาในการเบ่ง หากปล่อยทิ้งไว้จะปัสสาวะลำบากและบ่อยขึ้น จนไปถึงขั้นปัสสาวะเป็นเลือด
ศูนย์ทางเดินปัสสาวะ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ให้การดูแลรักษาโรคเฉพาะทาง ทั้งต่อมลูกหมากโต และมะเร็งต่อมลูกหมาก ด้วยการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใช้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษา ซึ่งที่ผ่านมา ศูนย์ฯ เป็นผู้บุกเบิกนำ เทคโนโลยีการรักษาโรคต่อมลูกหมากโตด้วยไอน้ำ (Water Vapor Therapy) มาใช้เป็นแห่งแรกในประเทศไทย นับเป็นเทคโนโลยีที่มีความปลอดภัยสูง ความเสี่ยงต่ำ ภาวะแทรกซ้อนน้อย อวัยวะบอบช้ำน้อย ฟื้นตัวเร็ว โดยกว่า 1 ปีครึ่งที่ผ่านมา ให้การรักษาไปแล้วกว่า 200 เคส เป็นจำนวนเคสที่มากเป็นอันดับต้น ๆ ของเอเชีย นอกจากนี้ ยังได้นำเทคโนโลยีที่ทันสมัยอย่าง หุ่นยนต์ช่วยผ่าตัดดาวินซี (Da Vinci) เข้ามาใช้ผ่าตัดรักษามะเร็งต่อมลูกหมาก ซึ่งแขนกลของหุ่นยนต์สามารถหมุนและโค้งงอได้ถึง 7 ทิศทาง แพทย์สามารถควบคุมการเคลื่อนไหวของแขนกลผ่านหน้าจอภาพ 3 มิติ ทำให้การรักษามีความแม่นยำ ปลอดภัย ช่วยลดภาวะแทรกซ้อนภายหลังการผ่าตัด แผลผ่าตัดมีขนาดเล็ก เสียเลือดน้อย ผู้ป่วยฟื้นตัวเร็ว
“ศูนย์ทางเดินปัสสาวะของเราประสบความสำเร็จในการรักษามาอย่างต่อเนื่อง สามารถสร้างความแตกต่างด้วยนวัตกรรมที่นำมาใช้ แต่เรายังไม่หยุดที่จะยกระดับการรักษาให้มีความเป็นเลิศยิ่งขึ้นไปอีก โดยล่าสุด เราได้นำนวัตกรรมไฮโดรเจล (Hydrogel) เข้ามาใช้กับผู้ป่วยมะเร็งต่อมลูกหมากเป็นครั้งแรกในประเทศไทย เพื่อลดผลแทรกซ้อนจากการรักษาด้วยการฉายรังสีหรือฝังแร่ ทำให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยดีขึ้น ซึ่งเคสแรกได้ดำเนินการเสร็จเรียบร้อยแล้วเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา” นพ.ธีระพล กล่าว
นพ.ธีระพล กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากการผ่าตัดมะเร็งต่อมลูกหมากโดยการใช้หุ่นยนต์ดาวินชีแล้ว รังสีรักษาเป็นวิธหนึ่งที่นิยมใช้ในการรักษามะเร็งต่อมลูกหมาก อย่างไรก็ตาม พบว่า การใช้รังสีรักษาทำให้ลำไส้ตรงที่อยู่ใกล้กับต่อมลูกหมากได้รับรังสีไปด้วย ซึ่งอาจส่งผลให้ลำไส้ส่วนปลายอักเสบ ท้องเสีย เลือดออกขณะถ่ายอุจจาระ บางรายอาจมีอาการท้องผูกจนมีเลือดออกรุนแรง โดยอาการจะเกิดขึ้นหลังการรักษา หรืออาจเกิดหลังรักษาไปแล้ว 5-10 ปี และเกิดเรื้อรังในระยะยาวได้ ซึ่งการฉีดไฮโดรเจลจะช่วยลดผลแทรกซ้อนดังกล่าวได้มาก
ไฮโดรเจลผลิตจากสารโพลีเอธิลีน ไกลคอล (Polyethylene Glycol) ที่มีความปลอดภัยสูง ร่างกายสามารถดูดซับได้ โดยก่อนฉายรังสีหรือฝังแร่ แพทย์จะฉีดไฮโดรเจลเข้าไปตรงกลางระหว่างต่อมลูกหมากกับลำไส้ตรง เพื่อเพิ่มระยะห่าง เมื่อฉายรังสีหรือฝังแร่จะทำให้ลำไส้ตรงไม่ได้รับรังสีหรือได้รับน้อยมาก ขั้นตอนการฉีดใช้เวลา 15-20 นาที ไฮโดรเจลจะอยู่ในร่างกายประมาณ 3 เดือน หลังจากนั้นจะสลายไปภายใน 3-6 เดือน
การฉีดไฮโดรเจลนับเป็นหัตถการที่มีความปลอดภัย ในประเทศสหรัฐอเมริกามีการใช้มาแล้วกว่า 200,000 เคส และมีงานวิจัยรองรับผลการรักษา โดยพบว่า ผู้ป่วยมะเร็งต่อมลูกหมากที่ฉีดไฮโดรเจลจะได้รับรังสีที่ลำไส้ลดลงกว่า 60% และลดผลแทรกซ้อนระดับกลางหรือรุนแรงจากการฉายรังสีหรือฝังแร่กว่า 70% นอกจากนี้ ผู้ป่วยบางรายปัสสาวะดีขึ้น และมีเพศสัมพันธ์ที่ดีขึ้นด้วย เมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่ได้ฉีดไฮโดรเจล
“จากผลวิจัยที่เชื่อถือได้ทำให้เรามั่นใจที่จะนำไฮโดรเจลมาใช้กับผู้ป่วย ส่วนทีมแพทย์ของเราที่ให้การรักษาเรื่องนี้ก็ล้วนเป็นผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับ Certificate และได้รับการฝึกฝนมาเป็นพิเศษ มีการทำงานร่วมกันเป็นทีมสหสาขาวิชาชีพ ทั้งด้านศัลยศาสตร์ยูโรวิทยา และรังสีรักษา การนำไฮโดรเจลเข้ามาใช้ครั้งนี้เป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ที่ยืนยันถึงความมุ่งมั่นและการไม่หยุดพัฒนาที่จะนำนวัตกรรมที่มีประสิทธิภาพมาใช้เพื่อผลการรักษาที่ดียิ่งขึ้น และเราจะยังคงติดตามเทรนด์การรักษาใหม่ ๆ จากทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง ยังมีนวัตกรรมที่ดีอีกมากที่เราจะนำมาใช้ในอนาคต” นพ.ธีระพล กล่าวในตอนท้าย
ศูนย์ทางเดินปัสสาวะ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ มีทีมแพทย์ที่มีประสบการณ์สูงและมีความชำนาญเฉพาะทางครอบคลุมทุกสาขา พร้อมส่งมอบการดูแลและผลลัพธ์การรักษาที่ดีที่สุดให้แก่ผู้ป่วย เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
สอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับการรักษาได้ที่ศูนย์ทางเดินปัสสาวะ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ชั้น 16 อาคาร A (คลินิก) โทร. 0 2066 8888, 061 409 3943 (Hotline) หรือโทร. 1378