เปิดเส้นทางชีวิต วิธีคิด และความท้าทายในสายงานบริหารจัดการธุรกิจร้านอาหารและภัตตาคาร และอนาคตของหญิงแกร่ง “โบว์-มธุรส วงศ์ประดู่” กับการนำร้านอาหาร Beauty in The Pot ฮอทพอทเพื่อสุขภาพและความงามที่โด่งดังจากประเทศสิงคโปร์มาเสิร์ฟให้คนไทยเป็นเจ้าแรกและเจ้าเดียว
เชื่อแน่ว่า บรรดาผู้ประกอบการร้านอาหารและภัตตาคารชั้นนำในเมืองไทยจำนวนไม่น้อย ย่อมต้องเคยได้ยินชื่อ “มธุรส วงศ์ประดู่” ที่ทุกคนยอมรับในฐานะ “อาจารย์โบว์” ผู้แบ่งปันองค์ความรู้และประสบการณ์ในการคลุกคลีอยู่กับการบริหารจัดการร้านอาหารและจัดการครัวมานานหลายสิบปีในตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ บริษัท โมนีคแอนด์ชาร์ลี กรุ๊ป จำกัด (Kitchen & Restaurant Management and Consultant) คุณโบว์พร้อมทีมงานในองค์กร รับบทบาทเป็นที่ปรึกษาให้กับธุรกิจร้านอาหารและภัตตาคารชั้นนำหลายต่อหลายแห่งที่ได้รับผลลัพธ์อย่างดีเยี่ยมมาตลอดหลายปี ขณะที่อีกหนึ่งด้าน คุณโบว์ คือหุ้นส่วนและผู้บริหาร บริษัท สตรอง ซอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ที่ล่าสุดได้อิมพอร์ตแฟรนไชส์ฮอทพอทชื่อดังจากสิงคโปร์มาให้คนไทยได้ “อร่อยฟิน…ไม่ต้องบินไปกินถึงสิงคโปร์”…
หญิงเก่งและแกร่ง บนเส้นทางให้คำปรึกษาธุรกิจร้านอาหาร
“ปรัชญาในการทำงานและการดำเนินชีวิตของเราคือการได้ซัพพอร์ตคนอื่น นี่คือบิ๊กเวิร์ดในใจเราและแก่นคุณค่าของงานเรา” คุณโบว์-มธุรส เริ่มต้นด้วยการกล่าวถึงหลักการในการทำงานของเธอ ซึ่งได้รับการหล่อหลอมบ่มเพาะเรื่อยมาตั้งแต่เธอยังอยู่ในวัยเยาว์
เพราะตั้งแต่เธอยังเด็ก เธอมีความสุขกับการขลุกอยู่ในครัว ช่วยคุณพ่อทำอาหารให้คนในบ้านรับประทาน และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ผลักดันให้เธอเลือกที่จะมาทำงานในสายบริหารจัดการธุรกิจร้านอาหารและภัตตาคาร
“ตอนโบว์ยังเด็ก คุณพ่อจะไปจ่ายตลาด โบว์ก็จะไปช่วยหิ้วของ แล้วกลับมาช่วยล้างผัก หั่น สับ ซอย ช่วยคุณพ่อทำอาหารให้คนในบ้านทาน ตรงนั้นแหละที่ทำให้เราเห็นว่า ความสุขของเราคือการทำอาหาร ที่สำคัญคือชอบทำอาหารให้คนอื่นทาน แต่โบว์ไม่ได้ชอบแค่ทำอาหาร โบว์ชอบงานบริหารด้วย มันจะมีคำถามมากมายเลย เช่น เค้าเปิดร้านอาหารกันยังไง ต้นทุนคืออะไร”
จากจุดนั้น ทำให้คุณโบว์ในวัยที่โตขึ้น เลือกเรียนที่วิทยาลัยดุสิตธานี ในสาขา Kitchen & Restaurant Management คือการบริหารจัดการครัวและภัตตาคาร และจบมาด้วยปริญญาเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง ได้รับทุนให้ไปศึกษาและฝึกงานที่ประเทศเบลเยี่ยม ไปเรียนเกี่ยวกับอาหารและเครื่องดื่ม (ไวน์ / แฮม / ชีส ฯลฯ) พร้อมทั้งฝึกเป็นเชฟ / Cooking Method / ฝึกทำงานในครัว ฯลฯ
หลังจบการฝึกงาน เธอได้เข้าทำงานที่แรกที่ Black Canyon ในแผนก Food & Beverage พัฒนาอาหารและเครื่องดื่ม จัดโปรโมชั่นสำหรับเทศกาลหรือแคมเปญต่าง ๆ การฝึกอบรม รวมทั้ง Set up สาขาต่างประเทศ ได้แก่ อินโดนีเซีย ดูไบ มาเลเซีย สิงคโปร์ ฯลฯ
จากพนักงานระดับปฏิบัติการ เธอเลื่อนขั้นขึ้นเป็นผู้บริหารครั้งแรกจากการได้ร่วมงานกับ Bread Talk Group ประเทศสิงคโปร์ โดยทำหน้าที่ Set-up ร้าน Bread Talk และ Toast Box สาขา CTW วางแผนและควบคุมการทำงานของแผนก Operation ทั้งหมด
ต่อมา ก้าวขึ้นเป็นผู้บริหารตำแหน่ง Vice President ทำหน้าที่ Set up และบริหารภัตตาคาร Din Tai Fung สาขาแรกของประเทศไทย ที่ ชั้น 7 CTW คุมงานก่อสร้าง วางแผนการทำงานในครัว วางแผนวัตถุดิบ ควบคุมต้นทุน แผนงานด้านบุคลากร ให้เป็นไปตาม Brand Protocol ของต้นสังกัด ประเทศสิงคโปร์
และอีกหนึ่งตำแหน่งคือการได้ทำงานกับ Asian Cuisine ในตำแหน่ง Operations Director ดูแลแบรนด์ โคคา และ Mango Tree สาขาต่างประเทศ ได้แก่ ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย เวียดนาม ฮ่องกง จีน
ด้วยประสบการณ์การทำงานตลอดระยะเวลาหลายปี ส่งผลให้เกิดความรู้ความเชี่ยวชาญในสายงานธุรกิจร้านอาหาร ซึ่งสามารถให้คำปรึกษาแก่เจ้าของกิจการ ผู้ประกอบการ หรือคนที่ต้องการเปิดร้านอาหารได้เป็นอย่างดี
“ในด้านธุรกิจอาหาร โบว์มีความเชี่ยวชาญในเรื่องของการบริหาร แต่ถ้าลงไปในรายละเอียด โบว์จะมีความเชี่ยวชาญในเรื่องของการวางคอนเซปต์ เข้าใจตลาด ไม่ว่าจะตลาดในไทยหรือเอเชีย เพราะการทำร้านอาหาร เราไม่ได้ทำให้ตัวเองทาน เราต้องเข้าใจผู้บริโภคก่อนว่าเค้าต้องการอะไร เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ที่สุดเลย เป็นแก่นของการทำธุรกิจ เพราะเมื่อเราเข้าใจแล้ว เราจึงจะสามารถวางกลยุทธ์ได้ หรือการทำมาร์เก็ตติ้งต่าง ๆ ก็ต้องรีเลทกับโจทย์ที่ว่าลูกค้าต้องการอะไร
“ในส่วนของการบริหารร้านอาหาร สิ่งที่โบว์ถนัด คือ การวางโครงสร้างองค์กร การวิเคราะห์งบการเงิน หรือที่เรียกว่า Profit & Lost คือเรื่องกำไรและขาดทุน จุดที่จะสร้างกำไรให้ธุรกิจคือจุดไหน ต้นทุนตรงไหนที่เราต้องลด แล้วต้นทุนที่สูงนั้นมาจากอะไร รวม ๆ แล้วก็คือ การทำร้านอาหารต้องดูอะไรบ้าง ตัวเลขตรงไหนต้องดู ต้องวางแผนแบบไหนเพื่อให้เราได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดโดยใช้ต้นทุนต่ำที่สุด ซึ่งตรงนี้เป็นจุดที่โบว์ค่อนข้างถนัด”
แน่นอนว่า ด้วยความเชี่ยวชาญและความถนัดดังกล่าว ทำให้นอกจากงานประจำที่ทำอยู่ คุณโบว์ยังได้รับเกียรติให้เป็นอาจารย์รับเชิญของวิทยาลัยดุสิตธานี รับหน้าที่สอนผู้ประกอบการ เจ้าของร้านอาหาร เจ้าของโรงแรม ในหลักสูตร Restaurant Management และ Kitchen Management หลายท่านรู้จักในนาม อาจารย์โบว์ ซึ่งเธอสอนที่นี่เข้าสู่ปีที่ 6 แล้ว โดยแต่ละปีก็จะมีประมาณ 7-8 คอร์ส
นอกจากนี้ยังได้รับเกียรติจากเจ้าของร้านอาหารและภัตตาคารหลายแห่ง ให้เป็นที่ปรึกษาด้านการบริหารจัดการร้านอาหารและภัตตาคาร ช่วยในด้านการวางแผนและแก้ปัญหา ทั้งเรื่องงาน บุคลากร ออกแบบ และปรับปรุง Workflow เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน พัฒนายอดขาย และการขยายสาขา เป็นต้น
โดยวลีเด็ดที่ทำให้หลายคนจดจำอาจารย์โบว์ได้ก็คือ “หลับตาเดินในบ้านตัวเองยังเดินผิด แล้วหลับตาเดินในโลกธุรกิจจะไม่เซได้อย่างไร”
“จริง ๆ แล้วต้องบอกว่า ธุรกิจร้านอาหาร คนเปิดจะใช้ใจเยอะ ใช้ใจคืออยากเปิดอยากทำ รู้สึกว่าตัวเองมีสูตรอร่อย มีคอนเซปต์ดี แต่เรื่องอื่นไม่รู้เลย ก็เหมือนคนหลับตาเดิน รู้ว่าอยากไป แต่หลับตาเดิน” กรรมการผู้จัดการแห่งโมนีคแอนด์ชาลี ขยายความถ้อยคำดังกล่าว
“แล้วหลายคนก็ไม่เปิดใจที่จะมองเรื่องของการเงิน เรื่องของตัวเลข ที่ต้องใช้ในธุรกิจ ตัวเลขมันต้องนำธุรกิจนะคะ ใจเป็นเรื่องหนึ่ง แต่เราต้องใช้ตัวเลขมาวิเคราะห์ แล้วเราต้องรู้ว่า ธุรกิจเราควรต้องไปยังไงต่อ เราต้องรู้ว่ามีกำไรมีขาดทุนเท่าไหร่ หลายท่านที่โบว์เจอคือใช้ใจล้วน แต่เรื่องเงินไม่สนใจเลย แล้วทีนี้ พอเราไม่สนใจเรื่องตัวเลข มันเหมือนเราหลับตาเดินนะ
“ใจอย่างเดียวไม่พอ ต้องมีหลักการ มีเหตุผล มีความรู้ ทุกธุรกิจเค้ามีองค์ความรู้ของเค้า เราจะกระโดดเข้ามาในธุรกิจนี้ เราต้องเข้าใจในองค์ความรู้ของธุรกิจนั้น ๆ ก่อน ขนาดโบว์ทำธุรกิจรับเปิดร้านอาหารให้นะคะ ถ้าลูกค้าบางท่านเลือกที่จะใช้แค่แพสชั่นมาเปิดร้าน หรือว่าเลือกที่จะเปิดแล้วไม่อยากดูตัวเลขเลย เราก็บอกว่า พี่คะ ถ้าพี่ไม่อยากรู้ตัวเลขเลย พี่ไม่อยากรู้กำไรขาดทุน พี่ปิดดีกว่า (ยิ้ม) เอาเงินไปฝากธนาคารหรือลงทุนในพันธบัตร น่าจะได้กำไรดีกว่า เค้าก็.. โอ้โห คือเค้าก็รักเรา เพราะเราเป็นอย่างนี้นะคะ ตรงไปตรงมา” คุณโบว์บอกเล่าด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะลงลึกในหลักการทำงานที่ทำให้ทุกคนยอมรับและเชื่อมั่นในตัวเธอ…
“คุณธรรม” และ “กำไรที่ใจเรา” เป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ในการทำงาน
“โบว์คิดว่าคุณธรรมคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในการทำธุรกิจ” คุณโบว์-มธุรส ตอบอย่างรวดเร็ว เมื่อถามว่าอะไรคือสิ่งที่สำคัญที่สุดของสายงานบริหารจัดการธุรกิจร้านอาหารและภัตตาคาร
“เพราะธุรกิจที่โบว์ทำ คือเป็นที่ปรึกษาร้านอาหาร เซ็ตอัประบบร้านอาหาร แปลว่าเราไม่ได้ทำให้ร้านของเราเอง เราทำให้ร้านคนอื่น ดังนั้นเราต้องมีคุณธรรมและต้องเป็นกลาง ซึ่งก็ไม่ใช่จะโปรโอนเนอร์หรือดูแลแค่เจ้าของอย่างเดียวเพื่อทำให้เจ้าของแฮปปี้ แต่พนักงานในร้านไม่มีความสุข หรือเด็กไม่ได้รับค่าแรงค่าจ้างตามที่สมควรจะได้ นี่ค่ะเป็นคุณธรรมข้อหนึ่ง โบว์ว่าแก่นในการทำธุรกิจจริง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ธุรกิจของเราที่เราต้องทำให้คนอื่นเจริญ ตัวเราเองต้องมีคุณธรรมและมีความเป็นกลาง และมองปัญหาตามสิ่งที่เป็นว่าเราจะต้องแก้ตามความเป็นจริง เราต้องไม่ลำเอียง ถ้าเราจะแค่ทำให้โอนเนอร์อยู่ได้ เราตัดคนหรือพนักงานออกไป แล้วอนาคตเค้าจะทำอะไร
“นี่คือคุณธรรมข้อใหญ่มากที่เวลาจะทำอะไร โบว์ต้องวิเคราะห์มาก ๆ ว่า เค้าจะอยู่หรือไป มันอยู่บนปลายปากกาของเรา อยู่บนความคิดเรา ดังนั้น เราต้องมั่นใจว่าเราไม่ได้ทำให้คนไหนเดือดร้อน แต่ถ้ามนุษย์ที่ไม่ควรจะอยู่ในองค์กร เพราะเค้าก็ไม่ได้รักองค์กร แล้วเค้าก็ไม่ได้ช่วยให้องค์กรดีขึ้น หรือบั่นทอนองค์กร อันนี้เค้าก็ไม่ควรอยู่ เค้าอาจจะเหมาะกับองค์กรอื่น เราก็จะต้องกล้าตัดสินใจว่าเค้าจะควรจะต้องอยู่หรือไม่ มันก็เป็นงานที่ชาเลนจ์มากเลย”
ดังนั้นแล้ว เรื่องของคุณธรรม จึงถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่คุณโบว์ใช้ในการกำกับการทำงานของตัวเอง ขณะที่ในส่วนของการเลือกพาร์ทเนอร์ เรื่องของ “วิธีคิด” คือหัวข้อสำคัญอันดับแรก ๆ ที่จะใช้ในการพิจารณา
“ธุรกิจส่วนตัวของโบว์เอง เป็นธุรกิจให้คำปรึกษา เซ็ตอัประบบร้านอาหาร ในนามของบริษัท โมนีคแอนด์ชาร์ลี แบรนด์ที่เราจะดูแลเค้า อย่างแรกเลย โบว์ต้องคุยกับโอนเนอร์ว่ามีวิธีคิดแบบไหน เมื่อทำงานด้วยกันแล้ว จริตจะตรงกันหรือเปล่า เพราะการทำร้านอาหารมันคือการวางแผนแก้ปัญหา วิธีคิดก็ต้องไปในทิศทางเดียวกัน การทำร้านอาหารเรามีพาร์ทเนอร์เหมือนคนแต่งงานกัน เราต้องเข้าใจกัน ต้องมีวิธีคิดคล้ายกัน เพราะไม่อย่างนั้น ตีกันตายเลย (ยิ้ม) เราก็ต้องดูว่า โอนเนอร์มีวิธีคิดแบบนี้ มีเจตนารมณ์ในการเปิดร้านอาหารเพื่ออะไร ถ้าเจตนารมณ์คล้ายกัน โบว์จะรับงาน เพราะเมื่อทำงานแล้วมันต้องมีความสุขด้วย ไม่เป็นทุกขลาภในใจเราว่า ทำไปเพราะว่า Just Make Money สุดท้ายแล้ว เค้าก็ไม่สุข เราก็ไม่สุข พอทำแล้วมันไม่เกิดผล มันกลายเป็นว่าเค้าเองก็จะไม่ได้ผลอย่างที่เค้าควรจะได้”
ด้วยเหตุนี้ ในทุก ๆ งาน การคำนึงถึงผลลัพธ์ที่พาร์ทเนอร์หรือคู่ค้าควรจะได้รับ จึงเป็นสิ่งที่คุณโบว์ให้ความสำคัญ และตั้งเป็น Achievement หรือความสำเร็จของตัวเอง
“ยกตัวอย่างเช่น มีร้านหนึ่งที่เรากำลังดูแลให้คำปรึกษาและเซ็ตอัประบบ เค้าเปิดมา 8-9 ปี ยอดขายแทบไม่เคยขึ้นเลย แล้วพอเราดูแลได้ประมาณครึ่งปี ยอดขายขึ้นมา 30% พนักงานก็จะได้เงินเดือนที่ดีขึ้น มีสวัสดิการที่ดีขึ้น นั่นคือ Achievement ในใจเรา มันเหมือนกำไรที่ใจเรา เพราะธุรกิจเราซัพพอร์ตคนอื่น และช่วยคนอื่นได้จริง ๆ ถ้าโบว์ดูแล้วว่าโบว์ซัพพอร์ตไม่ได้ พอคุยกันแล้วมันเหมือนเราจะช่วยเค้าไม่ได้ โบว์ก็ไม่กล้ารับงาน เพราะเราไม่รู้ว่าเราจะได้รับผลงานที่ใจเรา กำไรที่ใจเราอยู่ตรงไหน อาจจะมองในมุมที่เหมือนไม่ใช่ธุรกิจ (ยิ้ม) แต่โบว์คิดว่าการทำธุรกิจ นอกจากตัวเลขที่เราต้องคำนวนแล้ว มันต้องใช้ความจริงใจมาด้วย ว่าเราทำได้มั้ย เราช่วยเค้าได้จริงหรือเปล่า เพราะเราไม่ได้เปิดร้านอาหารของตัวเอง เราเป็นที่ปรึกษา เป็นคนวางแผนแก้ปัญหา แสดงว่าเรามาเพื่อช่วยเค้า ถ้าเค้าได้ประโยชน์ เราถึงจะค่อยได้ประโยชน์ ไม่ใช่ว่าเราได้ก่อนแล้วเค้าค่อยได้”
แน่นอนว่า สิ่งนี้สะท้อนถึงไปถึงเป้าหมายในชีวิตและการทำงานของคุณโบว์อย่างสมบูรณ์แบบ คือต้องการให้งานที่เธอทำสามารถได้ช่วยมนุษย์จริง ๆ ช่วยคนอื่นได้จริง ๆ
“โบว์มีความสุขกับการทำงาน เพราะการที่เราเดินไปช่วยเค้า ไปทำให้ทุกคนเค้าแก้ปัญหาได้ เราก็ได้ความสุข นั่นคือความสุขในใจเรา ความสุขที่เป็นผู้ให้ ก็เลยไม่รู้สึกว่าไปทำงานแล้วเหนื่อย แม้แต่พนักงานในทีมเรา น้อง ๆ ในทีมที่เรารับเค้าเข้ามา โบว์บอกว่าธุรกิจของเราซัพพอร์ตให้คนอื่น เราต้องมีใจที่จะดูแล และเราจะต้องช่วยแก้ปัญหา เราต้องไม่กลัวปัญหา เพราะปัญหาทำให้เราฉลาดขึ้น และถ้าเราแก้ปัญหาให้กับคู่ค้าของเราได้ เขาก็จะเติบโตขึ้นด้วย”
“เราใช้ชีวิตทุกวัน มันเป็น Simple Life อยู่แล้ว แต่ว่าเราทำให้คนอื่นมี Special Life ดีกว่า มีคู่ค้าหรือพาร์ทเนอร์อย่างน้อย 3 ท่านแล้วที่บอกกับเราว่า “ถ้าพี่ไม่เจอน้องโบว์นะ พี่ปิดร้านไปแล้ว” ซึ่งร้านเค้าดังมาก ลูกค้าเข้าเยอะมาก แต่เขาบอกว่า พี่เหนื่อยกับปัญหา พี่สู้ไม่ไหว พี่อยากปิดร้านแล้วไปทำธุรกิจอื่นดีกว่า แต่ตอนนี้เขาบอกว่า น้องโบว์รู้มั้ยว่าพี่อยากตื่นเช้าทุกวันเพื่อมาทำงาน พี่มีความสุขจังเลยที่ได้เข้ามาในร้านตัวเอง อันนี้คือ Achievement ของเราเลย เราเดินไปกอดพี่เค้าและบอกว่า พี่คะ ขอบคุณมาก ๆ เลยนะคะ”
อย่างไรก็ดี ในขณะที่เป้าหมายของบริษัท โมนีคแอนด์ชาร์ลี กรุ๊ป จำกัด ที่คาดหวังถึงการขยายตัวเพื่อจะช่วยคนได้มากขึ้นไปอีก สามารถรองรับธุรกิจร้านอาหารหลาย ๆ แบบ ซึ่งอาจจะไม่ใช่ร้านอาหารอย่างเดียว แต่อาจจะเป็นคาเฟ่หรือร้านเบเกอรี่ แต่ในเวลานี้ คุณโบว์ในฐานะหุ้นส่วนและผู้บริหาร บริษัท สตรอง ซอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ได้อิมพอร์ตร้านฮอทพอท Beauty in The Pot ที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในสิงคโปร์และอีกหลาย ๆ ประเทศในเอเชีย เข้ามาเปิดเป็นเจ้าแรกและเจ้าเดียวในเมืองไทย
“อร่อยฟิน…ไม่ต้องบินไปกินถึงสิงคโปร์” “Beauty in The Pot” ร้านฮอทพอทชื่อดัง ตอบโจทย์ทั้งด้านสุขภาพและความงาม
ด้วยวิสัยทัศน์ของคุณโบว์ที่มองเห็น Market Trend หรือทิศทางการตลาดของธุรกิจร้านอาหารและภัตตาคารในยุคปัจจุบัน บวกกับพฤติกรรมและความต้องการของผู้บริโภคของคนไทยที่ใส่ใจในเรื่องสุขภาพมากขึ้น ขณะเดียวกัน ความต้องการในการรับประทานอาหารประเภทฮอทพอทก็มีเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ นั่นจึงเป็นที่มาของการนำแฟรนไชส์ Beauty in The Pot มาเปิดในเมืองไทย ณ ชั้น G โรงแรมซัมเมอร์เซ็ท พระราม 9 กรุงเทพฯ
“ปัจจุบัน พฤติกรรมของผู้บริโภคมีการเปลี่ยนแปลงไป อีกทั้งกระแสทางการตลาดด้านความต้องการรับประทานอาหารประเภทฮอทพอทกำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว ผนวกกับ เทรนด์รักสุขภาพกำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในประเทศไทย เราจึงมองหาร้านฮอทพอทที่จะตอบสนองความต้องการเหล่านี้เข้ามาเปิดให้บริการในประเทศไทย ซึ่ง Beauty in The Pot ถือว่ามีชื่อเสียงและได้รับความนิยมสูงจากลูกค้าในสิงคโปร์และอีก 5 ประเทศทั่วเอเชีย”
สำหรับจุดแข็งและข้อแตกต่างของ Beauty in The Pot คุณโบว์ ให้รายละเอียดว่า อยู่ที่เมนูน้ำซุปซึ่งมีมากถึง 6 สูตร โดยน้ำซุปที่เป็นไฮไลท์และได้รับความนิยมอย่างมาก คือ น้ำซุปคอลลาเจน ที่พิถีพิถันในการเคี่ยวกระดูกไก่นานกว่า 8 ชั่วโมง เพื่อให้ได้คอลลาเจนแท้ ๆ จากธรรมชาติ ดีต่อ กระดูก ข้อ เข่า และผิวพรรณ ทานแล้วจึงช่วยเสริมทั้งด้านสุขภาพและความงาม และน้ำซุปเซียงล่า (หม่าล่า) ที่เน้นความหอมของเครื่องเทศและคุณประโยชน์ต่อสุขภาพ เพิ่มความเผ็ด ด้วยน้ำมันพริกเสฉวนปริมาณพอเหมาะ ให้รสชาติของน้ำซุปที่หอมอร่อยกลมกล่อม ซดได้ ไม่ชาปาก ไม่แสบคอ
นอกจากนี้ยังมีน้ำซุปมะเขือเทศ น้ำซุปมะพร้าว น้ำซุปไก่แช่เหล้า และน้ำซุปเห็ดรวม (มังสวิรัติ) รวมทั้งเมนูวัตถุดิบยอดนิยมที่ใคร ๆ ก็สั่ง เช่น ฟองเต้าหู้ เต้าหู้ปลา เนื้อกุ้งบดผสมไข่กุ้ง ลูกชิ้นแฮนด์เมด รวม เกี๊ยวรวม เนื้อสันนอกแองกัส (ออสเตรเลีย) และเนื้อ US Short Plate (อเมริกา) เป็นต้น เพื่อตอบสนองความต้องการของนักชิมฮอทพอทชาวไทยและต่างชาติในสไตล์ที่หลากหลาย ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการส่งต่อความสุขให้แก่ทุกคนในทุกครั้งที่มาร้าน Beauty in The Pot ด้วยรสชาติที่ทั้งอร่อยและอุดมด้วยโภชนาการแห่งการดูแลสุขภาพและความงาม
ภายใต้คอนเซ็ปท์ “อร่อย สวย สุขภาพดี” Beauty in The Pot หมายถึง ความงดงามของวัฒนธรรมการปรุงอาหารเพื่อบำรุงสุขภาพ ตลอดจนความงดงามที่เป็นเสมือนตัวแทนของความรักและความห่วงใยของคนในครอบครัว หลังจากมาเปิดในเมืองไทยตั้งแต่วันที่ 30 ตุลาคม 2565 มีผลตอบรับดีเป็นที่น่าพอใจอย่างมาก เพราะแค่เปิดเดือนแรก ก็มีลูกค้าประจำแล้ว เพราะเพียงหนึ่งเดือน ลูกค้าประจำก็มาทานถึงสามครั้ง ขณะที่กลุ่มลูกค้าก็มีความหลากหลาย เช่น ถ้าเป็นในวันธรรมดา ลูกค้าก็จะเป็นกลุ่มพนักงานออฟฟิศ หรือผู้บริหารที่มาประชุมกันแล้วมาทานอาหารเที่ยงอาหารเย็นด้วยกัน ส่วนวันเสาร์อาทิตย์ก็จะเป็นกลุ่มครอบครัว และเพื่อเป็นการขอบคุณลูกค้าประจำของเรา ทางร้านจึงได้จัดทำระบบสมาชิกเพื่อให้ลูกค้าได้สะสมพอยท์และแลกรับของรางวัล ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน เป็นต้นไป
สำหรับนักชิมฮอทพอท สามารถติดตามข่าวสาร ความเคลื่อนไหว และข้อมูลเพิ่มเติมของร้าน ได้ทาง Facebook: Beauty in The Pot TH (www.facebook.com/BiTPThailand) หรือ IG: @beautyinthepot.th หรือทาง Line: @beautyinthepot