บริษัท วีจีไอ จำกัด (มหาชน) หรือ วีจีไอ (“VGI”) ผู้นำการตลาด Offline-to-Online (“O2O”) โซลูชั่นส์ ผ่านแพลตฟอร์มที่หลากหลาย เผยผลการดำเนินงานประจำปี 2565/66 ทำรายได้ที่ 4,889 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.6% YoY ผลจากการฟื้นตัวของสื่อโฆษณานอกบ้านและการเติบโตอย่างแข็งแกร่งของธุรกิจบริการด้านดิจิทัล ทั้งนี้ VGI มีส่วนแบ่งขาดทุนจากเงินลงทุนในกิจการร่วมค้าและบริษัทร่วมจำนวน 438 ล้านบาท อันเนื่องมาจากการชะลอตัวของผลการดำเนินงานของธุรกิจโลจิสติกส์ส่งผลให้บริษัทฯ มีผลขาดทุนสุทธิอยู่ที่ 65 ล้านบาท ซึ่งหากไม่นับรวมเรื่องผลขาดทุนจากเงินลงทุนดังกล่าว VGI จะมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 373 ล้านบาท
คุณเนลสัน เหลียง กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ กล่าวว่าภาพรวมธุรกิจปี 2565/66 บริษัทฯ ยังคงได้รับอานิสงค์จากการตอบรับที่ดีจากแบรนด์และนักการตลาดให้ความสนใจในแพ็คเกจสื่อโฆษณานอกบ้าน จึงส่งผลทำให้ธุรกิจสื่อโฆษณาทำรายได้ 1,938 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22.6% YoY ซึ่ง VGI ได้ส่งมอบแคมเปญโฆษณาที่มีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่องผ่านเครือข่ายสื่อที่มีความหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นสื่อโฆษณานอกบ้านแบบดิจิทัล (“DOOH”) สื่อโฆษณาขบวนรถไฟฟ้าอันเป็นสื่อที่ยังคงได้รับความสนใจจากแบรนด์ชั้นนำระดับโลก อาทิ Versace, Chanel และ Yves Saint Laurent เป็นต้น และยังได้มีการประกาศความร่วมมือกับพันธมิตรในกลุ่มธุรกิจบันเทิงมากมาย เพื่อพัฒนาคอนเทนต์และการสื่อสารร่วมกัน นอกจากนี้ VGI ยังได้ปล่อย Pilot Campaign Programmatic Digital OOH (“pDOOH”) บนเครือข่ายรถไฟฟ้าบีทีเอสเป็นครั้งแรก เพื่อสร้างโซลูชั่นให้ตอบโจทย์ความต้องการของแบรนด์และนักโฆษณาได้หลากหลายมากยิ่งขึ้น
ด้านธุรกิจบริการด้านดิจิทัลมีรายได้ 1,440 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30.9% YoY ส่วนใหญ่มาจากการเติบโตของรายได้ค่าคอมมิชชั่นจากธุรกิจประกันภัย และ lead generation ที่เพิ่มสูงขึ้น สอดคล้องกับการขยายตัวของธุรกิจ InsurTech และ FinTech นอกจากนี้กลุ่มแรบบิทยังรับรู้รายได้ที่เพิ่มขึ้นจากการขายบัตรค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรม และรายได้จากการบริหารโครงการอีกด้วย ด้านธุรกิจการจัดจำหน่ายมีรายได้ 1,512 ล้านบาท ปัจจุบัน NINE ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ VGI ได้ทำการรีแบรนด์ใหม่เปลี่ยนชื่อเป็น “บริษัท ซุปเปอร์ เทอร์เทิล จำกัด (มหาชน) (“Super Turtle”) ดำเนินธุรกิจค้าปลีกและบริหารจัดการพื้นที่ให้เช่าเชิงพาณิชย์บนสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสจำนวน 31 สถานี ด้านบริษัทแฟนสลิ้งค์คอมมูนิเคชั่น จำกัด บริหารจัดการแบรนด์ของตนเองทั้งหมด 2 แบรนด์ประกอบด้วย PANDO และ WANAA ที่วางจำหน่ายแล้วทั้งช่องทางออฟไลน์และออนไลน์
ทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจของไทยปี 2566 ถูกคาดการณ์ว่าจะฟื้นตัวขึ้นที่ 3.6% ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าที่เติบโต 2.6% จากแรงหนุนของการบริโภคของภาคเอกชน ความเชื่อมั่นของผู้บริโภค และภาคการท่องเที่ยว อย่างไรก็ตาม ผลการดำเนินงานของปี 2566/67 บริษัทฯ ได้ตั้งเป้ารายได้อยู่ที่ 6,000 – 6,500 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20 –30% และกำไรสุทธิมากกว่า 10% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมากรรมการผู้อำนวยการใหญ่ กล่าวเพิ่มเติม
ท้ายนี้ในปี 2565/66 ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติอนุมัติการจ่ายปันผลรวมในอัตราหุ้นละ 0.08 บาท ทั้งนี้บริษัทฯ ได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลอัตราหุ้นละ 0.04 บาท เรียบร้อยแล้ว เมื่อเดือนมีนาคมปี 2565 ขณะเดียวกันการจ่ายเงินปันผลงวดสุดท้ายของปีมีการอนุมัติจ่ายปันผลมูลค่า 0.04 บาทต่อหุ้น ซึ่งต้องได้รับการอนุมัติจากที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นในวันที่ 18 กรกฎาคม 2566