เจาะกลยุทธ์สกินแคร์อินเตอร์แบรนด์บุกตลาดไทย

ตลาดสกินแคร์ไทย 8 หมื่นล้านสุดฮ็อต อินเตอร์แบรนด์ส่งโพรดักซ์ฮีโร่ชิงกำลังซื้อผู้บริโภคชาวไทย ล่าสุด NHH สกินแคร์ไต้หวันเปิดแนวรุกส่งทัพผลิตภัณฑ์ความงามออแกนิกส์จากสารสกัดเอกสิทธิ์เฉพาะ LONICA เบียดแชร์เจ้าตลาดเกาหลี-ญี่ปุ่น

ตลาดสินค้าเพื่อความงามยังเป็นตลาดที่มีความน่าสนใจและการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ รายงานด้านการตลาดของ Grand View Research คาดการณ์ว่ามูลค่าตลาดเครื่องสำอางทั่วโลกจะขึ้นไปแตะระดับ 3.64 แสนล้านดอลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 12.38 ล้านล้านบาท ในปี 2573 เติบโตเฉลี่ยปีละ 4.2% จากปี 2565 กว่า 1.4 เท่าขณะเดียวกันตลาดเครื่องสำอางของไทยยังมีโอกาสเติบโตสอดคล้องกับเทรนด์โลกโดยคาดว่า ในปี 2573 ตลาดเครื่องสำอางในประเทศของไทยจะมีมูลค่ากว่า 3.23 แสนล้านบาท เติบโตเฉลี่ย 5.0% ต่อปี เพิ่มขึ้นจากปี 2565 ประมาณ 1.5 เท่า โดยแบ่งเป็นการผลิตในประเทศ 85% และนำเข้า 15% จากแหล่งนำเข้าสำคัญ คือ สหภาพยุโรป จีน เกาหลีใต้ สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น

ทั้งนี้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว (Skin Care) ครองส่วนแบ่งการตลาดมากที่สุดกว่า 41% ของมูลค่าตลาดเครื่องสำอางในประเทศ มีมูลค่าตลาดราวๆ ประมาณ 8.34 หมื่นล้านบาท แต่สัดส่วนของแบรนด์ที่เป็นท็อปแรงค์กิ้งยังคงเป็นเคาน์เตอร์แบรนด์ต่างประเทศทั้งอเมริกา ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น เกาหลีและ Organic Brand โดยแบรนด์นำเข้าจากญี่ปุ่น เกาหลี ยึดตลาดสกินแคร์เป็นส่วนใหญ่ ส่วนหนึ่งเพราะเป็นแบรนด์เอเชียที่ตอบโจทย์ความต้องการและความงามของสาวไทยมากที่สุด

สกินแคร์เกาหลีที่คนไทยให้ความนิยมจะเน้นการฟื้นฟูบำรุง ลดเลือนริ้วรอยและต้านอนุมูลอิสระ มีส่วนผสมของสารสกัดธรรมชาติ อาทิ โสมเกาหลีเป็นสารสกัดตั้งต้นที่สร้างชื่อ โดยแบรนด์สกินแคร์เกาหลีที่เป็นที่นิยมในไทยประกอบด้วย THE HISTORY OF WHOO, SULWHASOO, JUNG SAEM MOOL, LANEIGE, BANILA CO, ETUDE HOUSE, INNISFREE และ NATURE REPUBLIC เป็นต้น

ขณะที่แบรนด์สกินแคร์จากญี่ปุ่น มีจุดขายในเรื่องความพรีเมียมและชื่อเสียงในการควบคุมคุณภาพที่เข้มงวดเพื่อสร้างผิวพรรณที่ผุดผ่อง ไม่แก่ ไม่มีรอยตำหนิ โดยนวัตกรรมความงามที่ขึ้นชื่อของแบรนด์ญี่ปุ่นคือ ไฮเดรชั่นและมอยเจอร์ไรเซอร์จากกรดไฮยาลูโรนิก แบรนด์ที่เป็นนิยมของคนไทยได้แก่ Hatomugi, DHC, Melano, Anessa, SK-II, Shiseido, KOSÉ, HadaLabo และ Biore เป็นต้น

ล่าสุดยังมีแบรนด์สกินแคร์จากประเทศไต้หวันอย่างแบรนด์ NHH ที่นำเข้านวัตกรรมสกินแคร์จากไต้หวันของบริษัท บี แอนด์ เอ็ม อินเตอร์เนชั่นแนล ไบโอเทค จำกัด ผู้คิดค้น และพัฒนา ผลิตภัณฑ์ด้านสุขภาพและความงาม จากธรรมชาติ อันดับหนึ่งในประเทศไต้หวันเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยนับได้ว่าเป็น ECO Friendly Beauty Brand ชูจุดเด่นสารสกัด LONICA นวัตกรรมเอกสิทธิ์เฉพาะของNHH เป็นจุดขาย เบื้องต้นจะเริ่มจาก 6 กลุ่มผลิตภัณฑ์ได้แก่ Hyaluronic Acid Essence, Hyaluronic Acid Treatment Cream, Hyaluronic Acid Lotion, Hyaluronic Acid Skinin Renewal facicl wash, Hyaluronic Acid EnnergyToner, Hyaluronic Acid erbpro Acne โดยสารสกัดที่นำมาใช้เป็นส่วนผสมของผลิตภัณฑ์ มาจากธรรมชาติ ไม่ใส่สารเคมีปราศจากพาราเบน โดยเฉพาะส่วนผสมที่เป็นเอกสิทธิเฉพาะซึ่งในปัจจุบันมีมากถึง 23 ชนิดที่ผ่านการจดสิทธิบัตรจะผ่านมาตราฐานสากลของ3 ประเทศ ไต้หวัน/สหรัฐอเมริกา /จีนเช่น ดอกสายน้ำผึ้ง (Honeysuckle) ดอกมีรสหวานเย็น เป็นธาตุเย็น ข่วยขับพิษร้อน ลดการอักเสบ เป็นเหมือนยาอายุวัฒนะ ฟื้นฟูผิวให้สดชื่น มาสกัดด้วยนวัตกรรมพิเศษ ร่วมกับ ใบชาคามิเลีย (Camellia Leaf) จนได้เป็นสูตรเฉพาะคือ LONICA ที่เหมาะกับสภาพผิวชาวไทยและเอเชีย เข้ามาเป็นตัวเลือกให้สาวไทยอีกแบรนด์

จะเห็นได้ว่า ในท้องตลาดปัจจุบันมีเซกเมนต์ของสกินแคร์จำนวนมากที่ดึงส่วนแบ่งทางการตลาดออกไป แต่ส่วนใหญ่เคาน์เตอร์แบรนด์จากต่างประเทศ ยังคงครองส่วนแบ่งทางการตลาดหลักๆไว้อยู่ ในขณะที่รายย่อยจะชูความเป็นออร์แกนิคเป็นหลักรวมทั้งผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ ไฮยาลูรอน หรือมีส่วนผสมมาจากธรรมชาติ เช่น LA ROCHE-POSAY, Vichy, Origin, Kiehl’s, กรีฟฟารีน เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม ตลาดด้านสุขภาพและความงามของไทยมีการเติบโตในทุกๆปี การมีผู้เล่นหน้าใหม่เข้ามาในตลาด รวมถึงรายเก่าที่ต้องเร่งปรับตัวสร้างมาตรฐานและปรากฎการณ์ใหม่ๆ ตลอดเวลา เพื่อรักษาพื้นที่ในตลาดไว้ จะส่งผลให้ผู้บริโภคได้รับผลประโยชน์สูงสุดได้ผลิตภัณฑ์บริโภคสินค้าความงามเพื่อการดูแลสุขภาพและความงามจากภายในสู่ภายนอกที่มีคุณภาพและประสิทธิภาพมากขึ้น