“พัทยาฟู้ด” เดินหน้าองค์กรสู่ความยั่งยืน รับผิดชอบ 3 ด้านหลัก ESG พร้อม จับมือ “GC” สร้างมูลค่าเพิ่มทางธุรกิจ บนแนวทางรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

“PFG – กลุ่มบริษัทพัทยาฟู้ด” ผู้นำตลาดธุรกิจอุตสาหกรรมอาหาร เคียงคู่สังคมไทยกว่า 44 ปี เดินหน้าสร้างมาตรฐานความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม นำหลักปฏิบัติ ESG มาใช้เป็นนโยบายหลัก ตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 50% ในปี 2575 พร้อมผนึกกำลังกับ “บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC” มุ่งลดปัญหาภาวะโลกร้อน ตั้งโครงการ “Waste for Life x YOUเทิร์น” นำขวดพลาสติกกว่า 51,283 ขวด (790 กิโลกรัม) กลับมาใช้ประโยชน์ด้วยการรีไซเคิลเป็นเสื้อยูนิฟอร์มพนักงานในองค์กร ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงกว่า 1,830.48 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์ มั่นใจช่วยต่อยอดมูลค่าเพิ่มทางธุรกิจควบคู่กับการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม ให้ 2 บริษัทมุ่งสู่การเติบโตที่ยั่งยืนไปด้วยกัน

นายวิชิต อะนะเทพ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พัทยาฟู้ดอินดัสตรี จำกัด กล่าวว่า “PFG – กลุ่มบริษัทพัทยาฟู้ด –Pataya Food Group” ผู้นำตลาดธุรกิจอุตสาหกรรมอาหาร และ อาหารสุขภาพ ภายใต้แบรนด์นอติลุส (Nautilus), นอติลุสไลท์ (Nautilus Lite), นอติลุสเอ็กซ์เท็น (Nautilus X-Ten), มงกุฎทะเล (Mongkut Talay), ซีคราวน์ (SEACROWN), ขนมขบเคี้ยว ไททัน (TITAN) อาหารพร้อมทาน ม่อนชะเมา (Mont Shamau) และ อาหารสัตว์เลี้ยง พรีเมี่ยม แบรนด์รีกาลอส (Regalos), อาหารสัตว์เลี้ยงเพื่อสุขภาพแบรนด์เรมี่ (Remy) โดยมีพันธกิจหลักคือ มุ่งมั่น ขับเคลื่อน การส่งมอบผลิตภัณฑ์คุณภาพสู่ผู้บริโภคทั่วโลก ภายใต้ปรัชญา ‘เพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตให้แก่ผู้บริโภคแบบองค์รวม’ ผ่านการพัฒนาสินค้าคุณภาพต่างๆ ทั้งในกลุ่มอาหารคน และ อาหารสำหรับสัตว์เลี้ยง เพื่อให้เกิดการเติบโตอย่างยั่งยืน

ตลอดระยะเวลากว่า 44 ปี ที่ยืนหยัดเคียงคู่สังคมไทยในการเป็นผู้นำตลาดธุรกิจอุตสาหกรรมอาหาร PFG ได้ขับเคลื่อนการส่งมอบผลิตภัณฑ์คุณภาพไปสู่ผู้บริโภคทั้งในไทยและทั่วโลก ภายใต้แนวคิด “เพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตให้แก่ผู้บริโภคอย่างองค์รวม” โดยวางเป้าหมายต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่มทางธุรกิจให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนในระยะยาว ควบคู่ไปกับความรับผิดชอบในการดูแลรักษาสังคมและสิ่งแวดล้อม ด้วยปรัชญาที่เชื่อว่าการทำธุรกิจที่ดี ไม่เพียงแค่สร้างการเติบโตของตัวเลขทางเศรษฐกิจ แต่คือการส่งต่อโลกที่ดีกว่าให้กับสังคมและคนรุ่นต่อไป”

PFG เข้าใจความผันผวนที่เกิดกับตลาดเป็นอย่างดี โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมที่ส่งผลเสี่ยงต่อการทำธุรกิจ ทำให้บริษัทได้สร้างมาตรฐานใหม่ในการทำงานเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการดูแลสิ่งแวดล้อม สังคม และชุมชน  ด้วยเป้าหมายที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิจากปีฐาน 2565 ลงให้ได้ 50% ภายในปี 2575 โดยวางแผนงานออกเป็นระบบตามนโยบายของสหประชาชาติ แบ่งเป็นความรับผิดชอบ 3 ด้านหลัก คือ Environment, Social and Governance หรือหลัก ESG

E – Environment, ด้านการดูแลสิ่งแวดล้อม ได้ดำเนินแผนลดใช้พลังงานไฟฟ้าและความร้อนในกระบวนการผลิตลงอย่างต่อเนื่องทุกปี และได้ดำเนินนโยบายใช้พลังงานหมุนเวียน โดยติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar rooftop) ซึ่งเป็นพลังงานสะอาด ไม่ก่อให้เกิดมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อม ในโรงงานทั้งในประเทศไทยและเวียดนาม

S – Social, ด้านการดูแลสังคม มีการให้ความสำคัญสูงสุดกับการดูแลและพัฒนาทรัพยากรบุคคล โดยกำหนดเป็นกลยุทธ์หลักในการพัฒนาองค์กรที่สะท้อนอยู่ในค่านิยมองค์กร จึงได้มุ่งมั่นส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีให้กับพนักงานกว่า 4,500 คน พร้อมให้ความสำคัญต่อการสร้างความตระหนักในการรับผิดชอบต่อสังคม ด้วยการสนับสนุนชุมชนและสังคมผ่านโครงการที่หลากหลาย อาทิ การดูแลเยาวชน กลุ่มคนด้อยโอกาส หรือผู้พิการให้มีงานทำ รวมถึงสร้างความผูกพันควบคู่กับการสร้างคุณค่าต่อชุมชนและสังคม เพื่อเติบโตร่วมกันในระยะยาวอย่างยั่งยืนและเป็นรูปธรรม

G – Governance, การดูแลด้านจริยธรรม และ ความโปร่งใส มีความมุ่งมั่นที่จะยกระดับมาตรฐานธรรมาภิบาล ด้วยความยึดมั่นหลักปฏิบัติในการดำเนินธุรกิจอย่างรับผิดชอบและมีการกำกับดูแลกิจการที่ดี ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญที่จะสร้างความเชื่อมั่นกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ทั้งยังให้ความสำคัญและผลักดันให้เกิดการดำเนินการเรื่องระบบบริหารความเสี่ยงขึ้น เพื่อใช้จัดการ สังเกต และป้องกันความเสี่ยง เพื่อจะช่วยบริหารจัดการความเสี่ยงที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้อย่างทันการณ์

“นอกเหนือจากนโยบายหลักตามหลัก ESG แล้ว เรายังได้มองถึงปัญหาทางสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นทั่วโลกจากภาวะโลกร้อน จนส่งผลที่เห็นได้ชัดต่อปรากฏการณ์ภัยธรรมชาติต่าง ๆ เช่น พายุฝน อุทกภัย ไฟป่าที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง ซึ่งส่งผลทางลบทั้งกับปัจจัยต้นทุนการผลิตและตลาด โดยหนึ่งในสาเหตุหลักนั้นมาจากมลพิษพลาสติกที่ทวีความรุนแรงขึ้นมากในปัจจุบัน ส่งผลให้เกิดแคมเปญการจัดการปัญหาพลาสติกต่าง ๆ ในภาคเอกชนที่ดำเนินการไปพร้อม ๆ กับกระบวนการของภาครัฐ เช่นเดียวกับที่กลุ่มบริษัทพัทยาฟู้ด ได้จัดตั้งโครงการที่ช่วยลดภาวะโลกร้อนและปัญหามลพิษ คือโครงการนำพลาสติกกลับมาใช้ให้เกิดประโยชน์อีกครั้ง (Recycle) พร้อมร่วมกับพันธมิตรที่มีวิสัยทัศน์เดียวกัน คือบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC”

นายวิชิต กล่าวต่อไปว่า “การผนึกกำลังของ 2 บริษัท กลุ่มบริษัทพัทยาฟู้ด และบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC ผู้นำในธุรกิจเคมีภัณฑ์ระดับสากล เกิดจากเป้าหมายในการมุ่งเน้นเรื่องการดูแลและรักษาโลกอย่างยั่งยืน โดยคำนึงถึงการรักษาสมดุลเพื่อสร้างสรรค์คุณภาพชีวิต โดยนำนวัตกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมาใช้ควบคู่ไปกับเทคโนโลยีล้ำสมัยเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์สร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของทุกคน ซึ่งการร่วมมือครั้งนี้ได้มุ่งเน้นเรื่องการนำขยะพลาสติกกลับมาใช้ใหม่ในโครงการ “YOUเทิร์น” ผ่านความมุ่งมั่นตั้งใจให้ความรู้กับพนักงานในเรื่องการแยกขยะและตระหนักถึงปัญหาของขยะที่มีมากขึ้น โดยเฉพาะขวดน้ำที่พนักงานดื่มในทุก ๆ วัน ทั้ง 2 บริษัทจึงมีเป้าหมายนำขวดน้ำดื่ม PET ที่เหลือทิ้ง ไปผลิตในกระบวนการรีไซเคิลเป็นเสื้อยูนิฟอร์มพนักงานในองค์กร ผ่านโครงการ “Waste for Life x YOUเทิร์น”

สำหรับเป้าหมายของการบันทึกข้อตกลงของทั้ง 2 บริษัท ประกอบไปด้วย 4 เรื่องหลักคือ

  • การร่วมกันแบ่งปันองค์ความรู้ด้านบรรจุภัณฑ์ชนิดต่าง ๆ การทดสอบผลิตภัณฑ์ รวมถึงให้คำแนะนำผู้ผลิตใน Supply Chain
  • การร่วมกันศึกษา พัฒนา และทดสอบการใช้วัสดุและบรรจุภัณฑ์ยั่งยืน จากผลิตภัณฑ์ของ GC Group ได้แก่ พลาสติก Mono Material (PE, PP), พลาสติกชีวภาพ, พลาสติกรีไซเคิล, โพลิเมอร์และเคมีภัณฑ์ มาใช้ในกลุ่มธุรกิจของ PFG
  • การวางแผนการใช้เม็ดพลาสติกรีไซเคิลของ GC ในการผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติก ได้แก่ หลอดบรรจุภัณฑ์, ฟิล์มหด, ฟิล์มยืด และกล่องพลาสติก
  • ความร่วมมือในการทำโครงการ Sustainable Packaging โดยเริ่มต้นแนวคิดที่ทำได้ง่าย ไม่ซับซ้อน เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ คือ การนำขวดดื่มที่ไม่ย่อยสลายกลับเข้าสู่โครงการ YOUเทิร์น แพลตฟอร์มของ GC เพื่อนำไปผลิตเป็นชุดยูนิฟอร์มสำหรับพนักงาน PFG ทั้งองค์กร และวางแผนต่อยอดแนวคิดเพื่อความยั่งยืนในอนาคต

ทั้งนี้ การดำเนินการในโครงการนี้มีการจัดจุดรับขวดพลาสติกตามสถานที่ต่าง ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกให้พนักงาน ทั้งที่สำนักงานใหญ่และที่โรงงาน อีกทั้งยังมีการจัดแคมเปญกระตุ้นให้พนักงานสะสมขวดน้ำดื่มเพื่อนำมาแลกของรางวัลต่าง ๆ ในวันที่กำหนด จึงทำให้ตลอดระยะเวลาโครงการ สามารถจัดเก็บขวดพลาสติกได้ทั้งสิ้น 51,283 ขวด (790 กิโลกรัม) เทียบเท่าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 1,830.48 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์ (kgCO2e)  ซึ่งขวดพลาสติกทั้งหมดได้จะถูกนำกลับมาทำเป็นเสื้อยูนิฟอร์มให้พนักงานในประเทศไทย เวียดนาม และจีน ภายในปี 2566 นี้”

“นอกเหนือจากนี้ กลุ่มบริษัทพัทยาฟู้ดและ GC ยังผนึกกำลังด้านการดูแลสิ่งแวดล้อม โดยมีเป้าหมายร่วมกันในการวางแผนพัฒนากิจกรรมต่าง ๆ ตามเป้าหมายทั้งในระยะสั้นและระยะยาว เพื่อต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่มทางธุรกิจ ควบคู่กับการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม เพื่อให้ทั้ง 2 บริษัทสามารถสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และการบริการที่ใส่ใจกับผู้บริโภค สังคม รวมถึงตัวพนักงานในองค์กร พร้อมมุ่งสู่การเติบโตที่ยั่งยืนไปด้วยกัน” นายวิชิต กล่าวทิ้งท้าย