“จิตตะ” แพลตฟอร์มการวิเคราะห์หุ้นทั่วโลกส่งเสียงแทนนักลงทุน ขอรัฐทบทวนแนวทางการจัดเก็บภาษีเงินได้จากต่างประเทศอย่างรอบคอบและสร้างความเป็นธรรมกับนักลงทุนให้มีโอกาสการลงทุนที่ดีอย่างทั่วถึงทั้งในไทยและต่างประเทศระบุอยากเห็นความชัดเจนในแนวปฏิบัติมองรัฐสามารถยกเว้น Capital Gain Tax จากการลงทุนหุ้นต่างประเทศได้เช่นเดียวกับการลงทุนในหุ้นไทยเพื่อสร้างความเท่าเทียมที่แท้จริงพร้อมเป็นตัวแทนนักลงทุนหารือทางออกร่วมกับสรรพากร
จากกรณีที่มีคำสั่งของกรมสรรพากรที่กำหนดให้ผู้มีรายได้จากต่างประเทศต้องนำเงินได้พึงประเมินมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีบุคคลธรรมดานั้นนายตราวุทธิ์เหลืองสมบูรณ์นักลงทุนในหุ้นต่างประเทศและผู้ก่อตั้งJitta (จิตตะ) ผู้ให้บริการเทคโนโลยีการวิเคราะห์หุ้นทั่วโลกที่นักลงทุนไทยนิยมใช้เพื่อตัดสินใจลงทุนต่างประเทศเปิดเผยว่าขอให้กรมสรรพากรพิจารณาประกาศนี้อย่างถี่ถ้วนอีกครั้ง เนื่องจากมีผลกระทบต่อนักลงทุนรายย่อยจำนวนมากที่มีการลงทุนต่างประเทศอยู่ในขณะนี้
ตราวุทธิ์บอกว่าโดยภาพรวมแล้วแนวทางที่สรรพากรนำมาใช้เพื่อจัดเก็บภาษีรายได้ในต่างประเทศส่วนนี้เพิ่มเติมก็เพราะคิดว่าบุคคลที่สามารถลงทุนต่างประเทศได้นั้นน่าจะเป็นผู้ที่มีความมั่งคั่งสุทธิสูงแต่ในความเป็นจริงแล้วในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเทคโนโลยีด้านการลงทุนต่างประเทศได้พัฒนาขึ้นมากทำให้ปัจจุบันนักลงทุนรายย่อยจำนวนมากได้ทำการลงทุนในต่างประเทศเพราะมองเห็นโอกาสในการสร้างผลตอบแทน และมีการกระจายความเสี่ยงที่ดีกว่าการลงทุนแต่ในประเทศเพียงอย่างเดียว
โดยปัจจุบันนี้นักลงทุนรายย่อยทั่วไปสามารถเริ่มลงทุนต่างประเทศได้แล้วด้วยเงินเพียงหลักร้อยหลักพันบาทเท่านั้น
“หากกรมสรรพากรมีการเรียกเก็บภาษีจากเงินลงทุนในหุ้นต่างประเทศกลุ่มคนที่น่าจะโดนผลกระทบหนักสุดคือนักลงทุนรายย่อยมากกว่านักลงทุนรายใหญ่ๆที่มีโอกาสลงทุนที่มากกว่าและไม่มีความจำเป็นต้องใช้เงินหรือโอนเงินกลับเข้าประเทศเลย”
นอกจากนี้แนวทางปฏิบัติในการคิดภาษีในส่วนของการลงทุนในหุ้นยังต้องมีความชัดเจนอย่างมาก เนื่องจากการลงทุนในหุ้นต่างประเทศจะแตกต่างจากการมีรายได้อื่นๆเช่นจากการทำงานหรือการมีอสังหาริมทรัพย์ให้เช่าเพราะหุ้นเป็นทรัพย์สินเสี่ยงมีโอกาสขาดทุนหรือมีกำไรก็ได้รวมทั้งมีจำนวนการทำธุรกรรมการซื้อขายที่เยอะกว่าทำให้การคิดภาษีมีความซับซ้อนสูงสร้างความสับสนในการปฏิบัติต่อนักลงทุน
ดังนั้นถ้าหากจะต้องเสียภาษีในการลงทุนหุ้นต่างประเทศควรจะต้องพิจารณาในส่วนนี้อย่างรอบคอบเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับผู้ลงทุนที่จะต้องเสียภาษีทุกคน
ยกตัวอย่างเช่นในกรณีที่เราลงทุนต่างประเทศปีแรกมีกำไรแล้วนำเงินเข้ามาเสียภาษีไปแล้วอีกปีนำเงินไปลงทุนต่อแต่กลับขาดทุนหนักแต่ขอภาษีตอนกำไรคืนก็ไม่ได้แบบนี้ก็ยิ่งทำให้ในระยะยาวแล้วนักลงทุนจะยิ่งขาดทุนหนักขึ้นเรื่อยๆจนไม่มีใครอยากจะไปลงทุนในต่างประเทศอีกเลย
หรือในกรณีมีการนำเงินไปลงทุนในพอร์ตการลงทุน 2 พอร์ตที่จีนและที่อเมริกาถ้าพอร์ตที่อเมริกากำไรแต่พอร์ตที่จีนขาดทุนแล้วนำเงินกลับมาเมื่อทำการคิดภาษีเฉพาะพอร์ตที่กำไรก็อาจจะไม่ยุติธรรมสำหรับนักลงทุน
ในประเด็นของความเท่าเทียมกันในการจัดเก็บภาษีจากการลงทุนนั้นเนื่องจากการลงทุนในตลาดหุ้นไทยปัจจุบันได้รับการยกเว้นภาษี capital gain tax ดังนั้นส่วนตัวจึงคิดว่าการลงทุนในหุ้นต่างประเทศก็ควรจะได้รับการยกเว้นเช่นเดียวกันซึ่งก็จะตรงกับที่ทางกรมสรรพากรออกมาชี้แจงล่าสุดว่า ต้องการสร้างความเป็นธรรมในการจัดเก็บภาษีระหว่างผู้มีเงินได้จากแหล่งเงินได้ภายในและภายนอกประเทศ ดังนั้นภาษีภายในประเทศจัดเก็บแบบไหน ก็ควรจะนำไปใช้เป็นแนวทางการจัดเก็บภาษีรายได้จากต่างประเทศในแบบเดียวกัน
ทั้งนี้เพื่อให้นักลงทุนสามารถนำเงินไปแสวงหาโอกาสการลงทุนที่ดีจากทั่วโลกได้ เพราะสุดท้ายแล้วเมื่อลงทุนได้กำไรนักลงทุนก็จะนำเงินกำไรที่ได้จากต่างประเทศกลับมาใช้จ่ายในประเทศกระตุ้นให้เศรษฐกิจมีการหมุนเวียนต่อไปน่าจะเหมาะสมกว่าที่จะจัดเก็บภาษีจากกำไรตั้งแต่ต้น
จากประสบการณ์ที่เป็นนักลงทุนผู้สร้างเทคโนโลยีการลงทุน และการได้คลุกคลีอยู่กับนักลงทุนรายย่อยที่ได้มีการลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศจำนวนมาก ผมยินดีเป็นอย่างมากที่จะเข้าร่วมการประชุมกลุ่มย่อย (โฟกัสกรุ๊ป) เสนอแนะปัญหาและข้อกังวลร่วมกับกรมสรรพากร เพื่อให้มีแนวทางปฏิบัติที่เป็นไปอย่างถูกต้องและเป็นธรรมให้มากที่สุดต่อนักลงทุนทุกคน