ตั้งสูงไว้ก่อน? ‘VinFast’ ปักเป้ายอดขาย 5 หมื่นคัน แต่ครึ่งปีแรกขายได้ไม่ถึง 1.2 หมื่นคัน แถมกว่าครึ่งมาจากบริษัทในเครือ

ย้อนไปช่วงวันที่ 15 สิงหาคม ที่ VinFast ได้เริ่มซื้อขายในตลาด Nasdaq โดยราคาหุ้นสามารถพุ่งขึ้นมากกว่า 250% ในวันแรกของการซื้อขาย แต่หลังจากนั้นก็ลดลงมากกว่า 60% และดูเหมือนหนึ่งในสิ่งที่ทำให้หุ้นร่วงก็คือ ยอดขาย ที่ดูยังไงก็ไปไม่ถึงเป้าปีนี้แน่นอน

หลังจากที่ VinFast บริษัทรถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติเวียดนาม ได้ปักเป้ายอดขายปี 2023 ไว้ที่ 4-5 หมื่นคัน ก็มีนักวิเคราะห์ออกมาโจมตีว่า แทบเป็นไปไม่ได้ เพราะในปี 2022 ท่ีผ่านมา บริษัทมียอดขายในเวียดนามได้เพียง 7,400 คัน เท่านั้น ดังนั้น เป้าหมายในปีนี้นั้นสูงมากกว่ายอดขายปีก่อนเกือบ 7 เท่า

โดยในช่วง 6 เดือนแรกของปี VinFast สามารถส่งมอบรถยนต์ได้เพียง 11,315 คัน โดยรถจำนวน 7,100 คันถูกขายให้กับบริษัท Green and Smart Mobility ซึ่งเป็นบริษัทแท็กซี่ของเวียดนามที่ควบคุมโดยบริษัท Vingroup ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ VinFast อีกที ขณะที่ยอดขายในสหรัฐฯ มีเพียง 137 คัน เท่านั้น ขณะเดียวกันคู่แข่งอย่าง Tesla และ XPeng ค่ายรถอีวีของจีน ในช่วงครึ่งปีแรกมีการส่งมอบรถยนต์ถึง 889,015 และ 300,145 คัน ตามลำดับ 

“ปริมาณ EV มากกว่า 50% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2023 มาจากบริษัทที่เกี่ยวข้องกันกับ VinFast แถมยอดขายในสหรัฐฯ ก็ไม่ถึง 200 คัน นั่นทำให้เกิดความกังวลอย่างมากเกี่ยวกับความต้องการรถอีวีของ VinFast” Shifara Samsudeen นักวิเคราะห์หุ้นของ LightStream Research กล่าว

แม้ว่าบริษัทมีแผนจะส่งออกรถไปยังประเทศอื่น ๆ ในเอเชีย, เอเชียตะวันออกเฉียงใต้และตะวันออกกลางในเร็ว ๆ นี้ รวมถึงมีแผนที่จะบุกตลาดยุโรปและอเมริกาเหนือ แต่ VinFast ก็ต้องแข่งกับค่ายรถอีวีที่มีมหาศาล ซึ่ง VinFast ก็ต้องหาจุดแข็งที่จะมาแข่งกับคู่แข่งให้ได้ เพราะถ้าเทียบราคาแล้ว VinFast นั้นมีราคาที่สูงกว่าคู่เเข่ง

“VinFast นั้นไม่มีราคาที่สามารถแข่งขันได้ ตัวอย่างเช่น รุ่น VF9 ของ VinFast มีราคาอยู่ที่ 83,000 ดอลลาร์ ในขณะที่ Tesla Model X มีราคาอยู่ที่ 68,590 ดอลลาร์ หลังจากเครดิตภาษีของรัฐบาลกลางและการประหยัดน้ำมัน สิ่งนี้ชี้ให้เห็นว่าอาจไม่ง่ายอย่างที่จะเร่งยอดขายในสหรัฐอเมริกาและตลาดต่างประเทศอื่น ๆ เนื่องจากค่ายรถอีวีที่ได้รับการยอมรับมากกว่านั้นขายในราคาที่ต่ำกว่า” 

ทั้งนี้ ในช่วงไตรมาสสอง VinFast ประกาศผล ขาดทุนสุทธิ 526.7 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 8.2% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว แต่บริษัทกลับมองว่าจะถึงจะคุ้มทุนภายในสิ้นปี 2024 ปัจจุบัน หุ้นของ Vingroup หนึ่งในกลุ่มบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในเวียดนาม ปิดที่ 1.85 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นระดับ ต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2017 ตามข้อมูลของ Refinitiv

Source