คาร์เทียร์ (Cartier) แบรนด์เครื่องประดับและนาฬิกาสัญชาติฝรั่งเศส ได้เผยโฉมภาคต่อของคอลเลคชั่น Le Voyage Recommencé ที่สะท้อนให้เห็นถึงสไตล์ของคาร์เทียร์อันวิจิตรอลังการ ในนิทรรศการแสดงเครื่องประดับไฮจิวเวลรี เรือนเวลา และผลงานจากคอลเลคชั่น Cartier Tradition รวมกว่า 380 ชิ้น ณ กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน
คาร์เทียร์มีความผูกพันกับกรุงปักกิ่งอย่างลึกซึ้งยาวนาน และเคยฝากความประทับใจอันสวยงามไว้ ณ เมืองหลวง แห่งนี้ ผ่านการจัดแสดงผลงานศิลปะ Le Pot Dore ของมูลนิธิคาร์เทียร์ (Fondation Cartier) ณ ประตูไท่เหอ พิพิธภัณฑ์พระราชวังกรุงปักกิ่ง เมื่อปี 2539 และนิทรรศการแสดงผลงาน Cartier Collection ที่จัดร่วมกับพิพิธ ภัณฑ์พระราชวังในปี 2552 และ 2562 เพื่อสานต่อสายสัมพันธ์และบทสนทนาระหว่างโลกตะวันออกกับตะวันตก
Prince Jun’s Mansion สถานที่จัดแสดงนิทรรศการครั้งนี้ มีประวัติความเป็นมายาวนานกว่า 400 ปี ด้วยตัวอาคารที่ก่อสร้างตามรูปแบบสถาปัตยกรรมราชสำนักสมัยราชวงศ์ชิงที่มีคอร์ตยาร์ดตรงกลาง โดยสร้างขึ้นในสมัย Shuncheng ที่ราชวงศ์ชิงปกครองประเทศจีน และเคยเป็นที่ประทับของเจ้าชาย Lekdehun
ซีริลล์ วิญเญอรอง (Cyrille Vigneron) กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของคาร์เทียร์ กล่าวว่า “Le Voyage Recommencé คือการเดินทางเชิงสร้างสรรค์ครั้งล่าสุดสู่แก่นแท้ของสไตล์คาร์เทียร์ ที่มีความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์หลากหลายแง่มุม และมีวิวัฒนาการเคียงคู่ไปกับยุคสมัยตลอดมา นับเป็นการเดินทางย้อนกลับไปสู่จุดเดิมโดยผ่านมุมมองใหม่ หลังจากประสบความสำเร็จกับการเปิดตัวคอลเลคชั่นเมื่อกลางปีที่ผ่านมา เรามีความยินดีที่จะนำเสนอ คอลเลคชั่นนี้ในประเทศจีน ซึ่งเป็นประเทศที่ให้แรงบันดาลใจแก่เมซงเสมอมา และรู้สึกปลาบปลื้มยินดียิ่งขึ้นไปอีกที่ได้แชร์คอลเลคชั่นนี้ ณ กรุงปักกิ่ง เมืองที่จารีตประเพณีมาผสมผสานกับความทันสมัยในแบบที่ไม่เหมือนใคร และสอดคล้องพ้องกันอย่างลึกซึ้งกับคาร์เทียร์”
เซซิล นาอูร์ (Cecile Naour) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารคาร์เทียร์ประเทศจีน กล่าวว่า “สไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์ของ คาร์เทียร์ มีความสอดคล้องพ้องกันกับแก่นแท้ของวัฒนธรรมจีน ในโอกาสที่คอลเลคชั่นเครื่องประดับชั้นสูง Le Voyage Recommencé ภาคล่าสุดมาเยือนกรุงปักกิ่ง คาร์เทียร์ขอเชิญชวนให้มาสัมผัสผลงานสร้างสรรค์ของเมซงที่สง่างามเหนือกาลเวลา ผ่านการแลกเปลี่ยนอย่างมีความหมายระหว่างศิลปะกับงานฝีมือ ณ สถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์แห่งนี้”
ผลงานยุคศตวรรษที่ 20 จาก Cartier Collection 3 ชิ้น ทำหน้าเสมือนบทเกริ่นนำ ก่อนที่ผู้ชมจะก้าวเข้าสู่พื้นที่จัดแสดงหลักทั้ง 3 ส่วน อันได้แก่ Giving Life to Nature, Evoking Journey และ Drawing the Line นอกจากนี้คาร์เทียร์ยังได้เชิญ ฟิลิปป์ นิโกลาส์ (Philippe Nicolas) ครูช่างศิลป์สาขาการแกะสลักอัญมณี (Glyptics) และอดีตหัวหน้าเวิร์กช็อปแกะสลักอัญมณีของคาร์เทียร์ พร้อมด้วยทีมงาน มาทำการสาธิตการแกะสลักพลอย เพื่อแสดงความมุ่งมั่นที่ทางเมซงมีต่องานฝีมืออันเป็นเลิศ
CARTIER COLLECTION
คาร์เทียร์ คอลเลคชั่นได้ถูกก่อตั้งขึ้นในปี 1983 เพื่อถ่ายทอดสไตล์และคุณค่าเชิงวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ของผลงานที่เมซงได้รังสรรค์ขึ้น ซึ่งคอลเลคชั่นนี้ประกอบด้วยผลงานจากยุค 1850 จนถึงต้นศตวรรษที่ 21 รวมกว่า 3,500 ชิ้น และยังเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อที่จะบอกเล่าเรื่องราวแห่งสไตล์และความคิดสร้างสรรค์ของแบรนด์ ตลอด 175 ปีที่ผ่านมา
กำไลหัวเสือไขว้ (DOUBLE PANTHER HEAD BANGLE)
คาร์เทียร์ ปารีส 1989 Cartier Collection Giving Life to Nature เสือแพนเตอร์คือไอคอนแห่งอาณาจักรสัตว์คาร์เทียร์อย่างไม่มีข้อกังขา นับตั้งแต่การปรากฏกายครั้งแรกบนเรือนเวลาประดับจิวเวลรีสำหรับสุภาพสตรี ที่คาร์เทียร์ทำขึ้นในปี 1914 สไตล์ของเสือแพนเตอร์ก็ได้รับการตีความใหม่สืบต่อมาเรื่อยๆ ในหลากหลายรูปแบบ ทั้งแบบธรรมชาตินิยม (naturalism) นามธรรม (abstraction) และเรขาคณิต (geometry)
สำหรับผลงานชิ้นนี้ คาร์เทียร์ใช้ความเชี่ยวชาญในเทคนิค “Serti Pelage” ที่จำลองลักษณะขนเสืออย่างสมจริง มาใช้ในการนำเสนอดีไซน์หัวเสือไขว้ และในอดีต มาเรีย เฟลิกซ์ (Maria Félix) นักแสดงชาวเม็กซิกันก็เคยเป็นเจ้าของผลงานที่มีความคล้ายคลึงกันกับชิ้นนี้
นาฬิกาเข็มกลัดตราหยก (SEAL WATCH-BROOCH)
คาร์เทียร์ ปารีส 1929 Cartier Collection Evoking Journey นาฬิกาเรือนนี้สะท้อนให้เห็นถึงแรงบันดาลใจจากภูมิภาคตะวันออก ตัวเรือนฝังอยู่ในตราหยกจีนสมัยศตวรรษที่ 19 ที่แกะเป็นรูปสิงโตตามความเชื่อทางพุทธศาสนา ชิ้นงานประกอบด้วยหยก ทับทิม และออนิกซ์ ในเฉดสีแดง เขียว ดำ ที่สร้างความ คอนทราสต์สะดุดตา บ่งบอกความชื่นชอบศิลปะอาร์ตเดโค และความหลงใหลที่ คาร์เทียร์มีต่อโลกและวัฒนธรรมของโลก
เทียร่า HALO (HALO TIARA)
คาร์เทียร์ ปารีส 1934 Cartier Collection จำหน่ายแก่ เบกุม อากา ข่าน ที่ 2 Drawing the Line เทียร่าส่วนบนเป็นทรงรัศมีรูปดอกบัว ซึ่งเป็นการนำรูปทรงจากธรรมชาติมีตีความในแบบนามธรรม ส่วนเทียร่าส่วนล่างที่ตกแต่งเป็นลายซิกแซ็กนั้นสามารถแยกออกมาสวมคาดศีรษะได้ ซึ่งเส้นสายอันบริสุทธิ์ได้สร้างนิยามของรูปทรงที่สมมาตร ขณะที่การฝังเพชรแบบลดหลั่นเป็นจังหวะก็ทำให้เพชรส่องประกายเจิดจ้าจรัสตา
GIVING LIFE TO NATURE
คาร์เทียร์หลีกเลี่ยงการสร้างภาพแทนธรรมชาติในแนวโรแมนติกหรือเล่นกับอารมณ์ แต่เลือกที่จะสร้างความสมจริง เชิงสร้างสรรค์ในหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นแบบเสมือนจริงอย่างยิ่ง (hyper-realism) ถ่ายทอดธรรมชาติแบบเกินจริง (stylisation) หรือแบบนามธรรม (abstraction)
สร้อยคอ PANTHÈRE HYPNOSE (PANTHÈRE HYPNOSE NECKLACE)
ช่างแกะสลักอัญมณีชองเมซง สลักแท่งคาลาไมท์เป็นหัวเสือได้อย่างเสมือนจริง ดุจ “องครักษ์” ที่คอยปกป้องจี้มอร์แกนไนท์สลักลายดอกไม้สุดวิจิตร
สร้อยคอ LUTEA (LUTEA NECKLACE)
คาร์เทียร์ตีความอัตลักษณ์ของดอกบัวสายในรูปแบบใหม่ โดยใช้ลวดลายเรขาคณิตและอัญมณีในหลายกลุ่มสีมาถ่ายทอดความงามของธรรมชาติในแบบเกินจริง โทปาซเม็ดกลางขนาด 12.69 กะรัต อยู่ในวงล้อมของโทปาซและลูกปัดแซฟไฟร์ในเฉดสีที่กลมกลืนละมุนตาเป็นธรรมชาติ ประดับด้วยพวงลูกปัดที่เรียงร้อยอย่างประณีต
สร้อยคอ KURINJI (KURINJI NECKLACE)
ดอกไม้พันธุ์หายากแห่งที่ราบสูงของอินเดีย ซึ่งจะผลิบานทุก 12 ปี เป็นแรงบันดาลใจให้เมซงเลือกแซฟไฟร์จากศรีลังกามาเป็นหัวใจของดีไซน์ ล้อมด้วยเพชรที่เรียงตัวเป็นรูปกลีบดอกไม้ ขับเน้นรูปทรงที่เป็นธรรมชาติด้วยลูกปัดแซฟไฟร์ แล้วใช้ออนิกซ์เป็นตัวสร้างจังหวะอย่างมีชั้นเชิง
EVOKING JOURNEY
ความสนใจใคร่รู้และอยากสัมผัสโลกเป็นแรงผลักดันให้คาร์เทียร์ออกไปสำรวจความมั่งคั่งของวัฒนธรรมตางๆ และนำศาสตร์แห่งมนุษย์ รวมทั้งศิลปะศาสตร์และบรรยากาศที่แปลกใหม่มาหลอมรวมกับสไตล์ของเมซง จนเปล่งประกายความงามแห่งโลก
เข็มกลัด BAILONG (BAILONG BROOCH)
เมซงเชิดชูเกียรติของมังกร หนึ่งในสัญลักษณ์ของอาณาจักรสัตว์ของคาร์เทียร์ ด้วยเข็มกลัดดีไซน์ใหม่ สะท้อนความหลงใหลที่คาร์เทียร์มีต่อเอเชีย ท่ายืนหันข้างอย่างองอาจ สื่อถึงความเป็นผู้ปกป้องและผู้ล่าในเวลาเดียวกัน มังกรขยุ้มเพชรสีเหลืองไว้ในอุ้งเท้า พร้อมกับเฝ้าดูทัวร์มาลีนทรงแปดเหลี่ยมย่อมุมขนาด 30.11 กะรัต อย่างระแวดระวัง
สร้อยคอ SAMBULA (SAMBULA NECKLACE)
ในการรังสรรค์สร้อยเส้นนี้ คาร์เทียร์ได้แรงบันดาลใจจากเซโนเต้ (cenote) สระน้ำจืดที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติและมักมีพืชพรรณขึ้นปกคลุม หัวใจของดีไซน์คือมรกตคู่น้ำงามที่อยู่ท่ามกลางอัญมณีโทนสีเขียว-น้ำเงิน คู่สีคอนทราสต์ที่เปรียบเสมือนตราสัญลักษณ์ของเมซง ดีไซน์ที่ลดหลั่นเป็นชั้นๆ ผสมผสานรูปทรงจากธรรมชาติกับรูปทรงเรขาคณิต ชวนให้นึกถึงพรรณไม้ที่หนาแน่นเขียวขจีในธรรมชาติ และความพลิ้วไหวของระลอกคลื่นบนผิวน้ำ
สร้อยคอ TUTTI SAMMAAN (TUTTI SAMMAAN NECKLACE)
เมซงสืบสานจารีตแห่ง Tutti Frutti ด้วยการนำธีมต้นสนไซเปรสที่ใช้ในการรังสรรค์งานอยู่เนืองๆ มาตีความใหม่ ลายต้นสนที่โค้งแนบไปกับลำคอชวนให้นึกถึงยอดสนต้องลม ขณะที่ความดกสะพรั่งของใบไม้แกะสลักเป็นตัวเพิ่มความละเอียดของลวดลาย ผสานกับการตกแต่งด้วยออนิกซ์ ขับเน้นพุ่มใบอันดกหนา
นาฬิกา COPTOS BRACELET (COPTOS BRACELET WATCH)
เรือนเวลาที่ได้รับการขนานนามตามชื่อเมืองโบราณของอียิปต์เรือนนี้ รังสรรค์ขึ้นในรูปทรงกำไล ในเฉดสีแดง-เขียว-ดำ สีคอนทราสต์ที่เป็นเอกลักษณ์ของคาร์เทียร์ ตัวกำไลใช้ลูกปัดคอรัล (ลูกปัดหินปะการัง) ร้อยเป็นวง หัวกำไลประดับมรกตคู่ ขับเน้นความเด่นด้วยรูเบลไลท์ทรง บัฟท็อป (buff top – หรือด้านหน้าผิวเรียบ ด้านล่างเจียระไนแบบเหลี่ยม) เสริมด้วยการฝังออนิกซ์อย่างมีชั้นเชิงทางเรขศิลป์ จึงเป็นผลงานที่สะท้อนถึงกำไลปลายเปิดตัวเรือนแข็งในคลังผลงานคาร์เทียร์ ที่มีชื่อเรียกขานมาตั้งแต่ครั้งอดีตว่า “Sudanese” (ซูดานีส)
DRAWING THE LINE
การเนรมิตจินตนาการให้มีชีวิตด้วยพลังแห่งเส้นสาย เป็นองค์ประกอบหนึ่งในการสร้างงานของคาร์เทียร์ โดยทุกการรังสรรค์เครื่องประดับที่คาร์เทียร์นั้นมีจุดศูนย์กลางอยู่ที่ความบริสุทธิ์ของเส้นสาย ความสมดุลของรูปทรงและปริมาตร การเล่นกับสัดส่วน และผลลัพธ์ของชิ้นงานที่กลมกลืนในทุกส่วน เมื่อนำมาผสานกับรูปทรงเรขาคณิตและความตัดกัน ก็ได้ผลลัพธ์เป็นสไตล์เปี่ยมเอกลักษณ์ของคาร์เทียร์
สร้อยคอ TROVOADA (TROVOADA NECKLACE)
สร้อยเส้นนี้ใช้พลอยสปิเนลเรียงสลับกับแคลซีโดนี่สีม่วงและเพชร สะท้อนแรงบันดาลใจจากความแปรผันของเฉดสีบนท้องฟ้ายามพายุก่อตัว ความโค้งมนของลูกปัดสร้างคอนทราสต์อย่างละมุนละไมกับรูปไข่และรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน (lozenge) ที่เปี่ยมไปด้วยพลังแห่งรูปทรงเรขาคณิต และแต่ละองค์ประกอบต่างก็มีบทบาทในการทำให้ผลงานมีความอ่อนพลิ้วดุจเคลื่อนไหวได้
สร้อยคอ NAUHA (NAUHA NECKLACE)
จุดโฟกัสของผลงานอยู่ที่มรกตเม็ดงามทรงห้าเหลี่ยมที่ประกบคู่อยู่กับเพชรทรงโล่ การเล่นกับรูปทรงเรขาคณิตผ่านดีไซน์แบบขั้นบันไดลดหลั่นมีชั้นเชิง เรียงสลับด้วยเพชร สร้างความอ่อนพลิ้วดุจระลอกคลื่นในเส้นริบบิ้น นอกจากนี้การฝังออนิกซ์เรียงเป็นเส้นยังช่วยเสริมความสมบูรณ์ให้กับองค์ประกอบในเฉดสีเขียวตัดดำ อีกหนึ่งคู่สีคอนทราสต์ที่เป็นเอกลักษณ์ของเมซง
สร้อยคอ ONDAGE (ONDAGE NECKLACE)
สร้อยเส้นนี้สะท้อนความชื่นชอบที่เมซงมีต่องานออกแบบที่ได้พลังจากเส้นสายอันบริสุทธ์และการผสมผสานรูปทรงเรขาคณิต ตัวสร้อยโดดเด่นด้วยเพชรที่เจียระไนหลากหลายรูปทรง ทั้งทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส ทรงสามเหลี่ยม และทรงบาแก็ตต์ สร้างองค์ประกอบศิลป์ที่เล่นกับรูปทรงเรขาคณิตและพลังของความโค้งมนไปพร้อมกัน
แหวน KUBOS (KUBOS RING)
คาร์เทียร์ชูความเด่นของทัวร์มาลีนสีน้ำเงินแกมเขียวแจ่มจรัส ฝังเพชรทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสบนยอดของรูปสี่เหลี่ยมแต่ละรูป สลับกับคอรัล (หินปะการัง) สร้างภาพลวงตาสามมิติแบบเดียวกับที่เมซงเคยใช้ตกแต่งหีบเครื่องสำอาง (vanity cases) ในยุค 1920
แหวน ATTRARE (ATTRARE RING)
คาร์เทียร์เล่นกับความเป็นคู่แฝดของสปิเนลจากทาจิกิสถาน ด้วยดีไซน์ที่นำพลอยทั้งสองเม็ดมาวางประกบบนหัวแหวน Toi & Moi โฉมใหม่ กรอบข้างตัวเรือนฝังออนิกซ์ ชูความละเอียดของงานฝังอัญมณีขนาบข้างตัวเรือนแบบขั้นบันได เล่นกับเสียงสะท้อนและความสอดคล้องพ้องกันได้อย่างวิจิตรตระการตา
ช่างฝีมือและนักออกแบบของคาร์เทียร์ ใช้แนวทางการสร้างสรรค์ผลงานที่เป็นจุดเริ่มต้นของแต่ละคอลเลคชั่น โดยมีแรงขับเคลื่อนจากการแสวงหาความงาม และความสนใจใคร่รู้ในสิ่งที่ไม่มีผู้ใดเคยรู้มาก่อน เครื่องประดับชั้นสูงคอล เลคชั่น Le Voyage Recommencé ของคาร์เทียร์ จึงเป็นการเดินทางสู่แก่นแท้ของสไตล์คาร์เทียร์อย่างอิสระเสรีและไปไกลยิ่งกว่าเดิม