Believe Digital Thailand ฉีกกรอบท้าทายค่ายเพลงยักษ์ ชูกลยุทธ์ Digital Artist Streaming ใช้ AI ดันศิลปินอิสระผ่านพาร์ทเนอร์ Music Streaming Platforms พร้อมเปิดตัว ‘Sentric’ อีกหนึ่งธุรกิจใหม่เพื่อช่วยเก็บรายได้ด้านลิขสิทธิ์ให้ศิลปิน

ย้อนกลับไปเมื่อ 20 ปีที่แล้ว วงการเพลงทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทยมีเพียงค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ครองตลาดอยู่เพียงไม่กี่ราย เท่านั้น แต่ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ศิลปินอิสระหน้าใหม่เริ่มผุดขึ้นมามากมาย กลายเป็นปรากฏการณ์ ใหม่มาพลิกบทบาทของค่ายเพลงยักษ์ที่เคยเป็นผู้เล่นหลักในวงการอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

การปรากฏตัวของศิลปินอิสระเหล่านี้ เกิดขึ้นใกล้เคียงกับช่วงเวลาที่Believe Digital Thailand เข้ามาดำเนินธุรกิจในประเทศไทยพอดี ซึ่งนับเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของวงการเพลงไทย และหลายๆ คนอาจไม่เคยรู้ว่า Believe Digital เป็นผู้อยู่เบื้องหลังการดูแลศิลปินตัวปังในไทยทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น YOUNGOHM, SARAN, UrboyTJ, TIMETHAI, โบกี้ ไลอ้อน, fellow fellow, ก้อง ห้วยไร่, เบิ้ล ปทุมราช, จินตหรา พูลลาภ และรวมไปถึงค่ายต่างๆ เช่น What The Duck, Loveis, Small Room, YUPP และอีกมากมาย

เห็นได้ชัดว่าปัจจุบันประเทศไทยมีศิลปินอิสระที่มีประสบการณ์และทักษะสูงขึ้น พวกเขาเชี่ยวชาญทั้งการผลิตเพลง ใช้เครื่องมือดิจิทัลและเข้าใจการตลาด ในอนาคต ศิลปินอิสระจะมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนและสร้างสรรค์    ผลงานดนตรีที่หลากหลาย ตอบสนองความต้องการของผู้ฟังอย่างทั่วถึงมากยิ่งขึ้น

นางสาวสมวลี ลิมป์รัชตามร – Country Director Believe Digital ประเทศไทย กล่าวว่า “Believe Digital Thailand เป็นบริษัทชั้นนำระดับโลกด้านการบริหารจัดการเพลงในระบบ Digital Streaming มานานถึง 17 ปี โดยมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ประเทศฝรั่งเศส และเป็นบริษัทจดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ที่ลักเซมเบิร์ก ซึ่งเป็นตลาดหลักทรัพย์เฉพาะบริษัทที่เกี่ยวข้องกับ Tech Company สำหรับประเทศไทย Believe Digital Thailand ดำเนินงานมาถึงปีที่ 10 แล้ว”

“Believe Digital Thailand เกิดจากความมุ่งมั่นที่อยากสร้างความโปร่งใสในการบริหารจัดการผลประโยชน์ รวมถึงการมอบอิสระในการสร้างผลงานให้กับศิลปิน โดยมีการวางระบบหลังบ้านผ่านเทคโนโลยีที่เรียกว่า ‘Backstage’ ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่เชื่อมต่อกับระบบ online store มี AI ทำงานร่วมกับระบบจัดการเทคโนโลยี ช่วยส่งเพลงให้ไปถึงกลุ่มเป้าหมายได้เร็วและตรงที่สุด ซึ่ง Backstage ทำหน้าที่ทั้งเป็นจุดเชื่อมต่อ จัดเก็บและอ่านข้อมูล รวมถึงช่วยคำนวณรายได้ให้กับศิลปินในกลุ่ม Digital Streaming” คุณสมวลี กล่าวเสริม

สำหรับ Believe Digital มีโครงสร้างการบริหารจัดการออกเป็น 3 ส่วนคือ

  • TUNECORE
    ขั้นแรกเริ่มที่ศิลปินสามารถเข้ามาเปิดบัญชีสมาชิก (Subscription)เพื่อใช้บริการแพลตฟอร์มส่งเพลงขึ้นระบบ Online Store กับ Believe Digital หลังจากนั้นจะเป็นการทำงานของระบบเทคโนโลยี 100% ที่จะจับความเคลื่อนไหว เก็บข้อมูลของผู้ฟัง และจัดส่งรายได้ให้ศิลปิน โดยขั้นตอนนี้เรียกว่าเป็นช่วง ‘Entry Level’ ซึ่งจะยังไม่มีการโปรโมทใดๆ บน Online Store ข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับ tuneCORE มีต้นกำเนิดมาจากอเมริกา  Believe Digital ได้ซื้อลิขสิทธิ์มาและตอนนี้ได้นำมาใช้ในประเทศไทยซึ่งเป็นหนึ่งในตลาดอุตสากรรมเพลงที่เติบโตและมีศักยภาพ โดยดูจากศิลปินอิสระมีความรู้ความเข้าใจในการใช้เครื่องมือดิจิทัลในสายงานดนตรี พร้อมกับมีผู้ฟัง digital streaming เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
  • BELIEVE LABEL & ARTIST SOLUTIONS
    ขั้นนี้จะเป็นการยกระดับศิลปิน หลังจากที่ระบบtuneCORE มีข้อมูลบ่งชี้มากพอว่าจำนวนและสไตล์เพลงของศิลปินท่านนี้ ได้รับความสนใจจากผู้ฟังในระบบและมีแนวโน้มพัฒนาต่อยอดได้ ในขั้นตอนนี้เป็นการทำงานร่วมกันระหว่างระบบ AI 70% ในการเก็บและวิเคราะห์ข้อมูล ช่วยเพิ่มยอด Streaming พร้อมทั้ง pitching หาพื้นที่โปรโมทบน online store ให้ส่งตรงถึงกลุ่มเป้าหมาย ส่วนอีก 30% เป็นการตีโจทย์ทิศทางการต่อยอดให้กับศิลปินโดยทีมงาน ซึ่งขั้นที่ 2 นี้ Believe Digital ให้บริการได้ทั้งสเกลแบบบุคคล เช่น ศิลปินอิสระ และสเกลระดับค่ายที่มีศิลปินในการดูแลอยู่แล้ว เช่น What the Duck, Small Room, Loveis, Yupp, High Cloud หรือกลุ่มที่เรียกว่า Independent Label
  • BELIEVE ARTIST SERVICES
    ขั้นนี้นับเป็นการปั้นยูนิคอร์นที่ทางBelieve Digital Thailand จัดให้กับศิลปินที่มีคุณลักษณะที่ค่อนข้างพร้อม ทั้งความสามารถในเรื่องเพลง ความรับผิดชอบในการผลิตผลงาน วินัยในการทำงานและความสม่ำเสมอ หน้าที่หลักของขั้นตอนนี้คือดันศิลปินกลุ่มนี้ให้เป็น ‘Top Artist’ คือ ติดอันดับ 1-20 ศิลปินเบอร์ต้นของประเทศ โดยมีสัดส่วนการบริหารจัดการระหว่างระบบ AI 30% และอีก 70% เป็นทีมงาน Digital Marketing เฉพาะเจาะจงสำหรับศิลปินแต่ละราย ช่วยดูว่าศิลปินท่านนี้ เหมาะกับตำแหน่งในตลาดแบบไหน สามารถเป็นพรีเซนเตอร์แบรนด์แนวไหนได้บ้าง ออกคอนเสิร์ตลักษณะไหนที่ตอบโจทย์ นอกจากนี้ Believe ยังมีทุนให้ศิลปินไปทำ MV โดยไม่ได้เข้าไปควบคุมหรือจำกัดความคิดสร้างสรรค์ของศิลปินอีกด้วย โดยมีข้อแม้ว่าพวกเขาต้องทำผลงานออกมาให้มีคุณภาพ ทั้งหมดนี้จะมีทีมงานช่วยวางแผนครบทั้งระบบ

และบริการล่าสุดคือ ระบบ ‘Sentric’ เป็นการดูแลผลประโยชน์ช่วยเก็บรายได้ด้านลิขสิทธิ์ เมื่อเพลงของศิลปินถูกนำไปใช้ในช่องทางอื่นใด จากบุคคลกลุ่มใดก็ตามทั้งในและนอกประเทศ

“ข้อแตกต่างที่ทำให้ Believe Digital Thailand แตกต่างจากผู้เล่นอื่นในวงการธุรกิจดนตรี คือ รากฐานของ  Believe มาจากบริษัทเทคโนโลยี เรามีเทคโนโลยีของตัวเอง จัดการข้อมูลด้วยความแม่นยำในการบริหารให้กับศิลปิน นอกจากจะใช้ความชำนาญและประสบการณ์ของมนุษย์ Believe ยังใช้ Data เป็นข้อมูลบ่งชี้และวิเคราะห์ทิศทางการพัฒนาและวางกลยุทธ์ให้กับศิลปิน เพื่อความเข้าใจที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างชัดเจน ซึ่ง ณ ตอนนี้ Believe Digital มีเครือข่ายอยู่ถึง 54 ประเทศทั่วโลก และยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้หัวใจหลักในการดำเนินงานของ Believe Digital คือ การให้เกียรติความเป็นตัวตนของศิลปิน หมายถึง เราจะไม่ตีกรอบหรือมีเช็คลิส ต์ว่าศิลปินต้องทำกิจกรรมโปรโมทแบบเดียวกัน ถึงจะแปลว่าทำครบและสำเร็จ แต่ Believe จะมองบุคลิก ลักษณะ ความพอใจและความสบายใจของศิลปินเป็นหัวใจในการวางแผนงาน” คุณสมวลี กล่าวเพิ่มเติม

‘3Cs + 1T’ หลักการดูแลศิลปินของ Believe Digital Thailand กับการดันศิลปินผ่าน Generative AI
ทุกวันนี้ คือยุคของ AI เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในสิ่งที่สำคัญที่สุดที่มีผลต่อทั้งศิลปินและค่ายเพลง ถ้าพูดให้ชัดกว่านี้คือ Generative AI คือ AI ที่สามารถบริหารจัดการทุกสิ่ง รวมทั้งตัวมันเองได้ด้วย สิ่งที่ Believe มักจะสื่อสารกับศิลปินและค่ายเสมอคือ AI จะสร้างประโยชน์มหาศาลกับคนที่เข้าใจ แต่ในขณะเดียวกัน AI ก็สามารถสร้างความเสี่ยงมหาศาลให้กับคนที่ไม่เข้าใจได้เช่นกัน เพราะฉะนั้น สิ่งหนึ่งที่ Believe ตั้งใจทำคือการให้ความรู้กับวงการว่าการเข้ามาของ Generative AI มีสิ่งที่ต้องเรียนรู้ ใช้ประโยชน์ และพึงระวังอะไรบ้าง ดังนั้นคำว่า Digital Marketing ของ Believe จะไม่ใช่นิยาม Marketing แบบเก่า แต่เรามักจะใช้ Marketing ที่มีผลต่อการกระตุ้น  AI จึงเป็นที่มาของหลักการ ‘3Cs + 1T’เพื่อดูแลศิลปินและค่ายให้ได้รับการคุ้มครองสิทธิ และได้ผลประโยชน์อย่างโปร่งใสที่สุด

  • CONSENT ทุกกิจกรรมและการกระทำใดๆ ทาง Believe ต้องได้รับการยินยอมจากศิลปินก่อน
  • CONTROL ศิลปินจะมีอำนาจในสิทธิการตัดสินใจ รวมถึงการดูแลผลประโยชน์จากผลงานที่เป็นสินทรัพย์ของตัวเอง
  • COMPENSATION จากการผลิตผลงานและการขับเคลื่อนผ่านระบบ AI ของ Believe จะเป็นไปเพื่อให้ศิลปินได้รับผลตอบแทนที่เหมาะสม
  • TRANSPARENCY นับเป็นคุณค่าหลักของ Believe นับตั้งแต่วันแรก ที่ต้องการสร้างความโปร่งใสในการดูแลผลประโยชน์ให้กับศิลปิน ดังนั้นไม่ว่ากระบวนการทำงานจะผ่านกี่ขั้นตอน ทุกอย่างต้องโปร่งใสต่อศิลปินที่สุด โดยเฉพาะเรามีเทคโนโลยีช่วยตรวจจับ fake streaming ได้อย่างแม่นยำ

“เรียกได้ว่าเป็นที่น่าจับตามองอย่างมาก สำหรับอุตสาหกรรมเพลงไทย ที่ทุกวันนี้ศิลปินหันไปใช้ Streaming ในการเผยแพร่ผลงาน แต่ทว่ายังมีอีกหลายคนที่ไม่รู้ว่าจะเริ่มเอาตัวเองเข้าเข้าสู่ระบบ Streaming อย่างไร และหารายได้จากมันได้แค่ไหน ดังนั้น Believe จึงเกิดมาเพื่อเป็น Distributor ช่วยเชื่อมศิลปินเข้าสู่ Streaming Platform ด้วยระบบ AI ที่แม่นยำ

แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ทาง Believe อยากฝากไว้คือ ความรับผิดชอบและวุฒิภาวะของศิลปิน ซึ่งเป็นเรื่องที่ระบบช่วยจัดการให้ไม่ได้ แต่ต้องอาศัยใจของศิลปินล้วนๆ ว่ารักในสิ่งที่ตัวเองเลือกทำให้ต่อเนื่องและยั่งยืนได้แค่ไหนเท่านั้นเอง” คุณสมวลี กล่าวปิดท้าย