แกมโบล (GAMBOL)โชว์ผลประกอบการแกร่งในปี 2566 กวาดรายได้รวมกว่า 1,000 ล้านบาท กำไรโตกว่า 10% เผยกลยุทธ์เชิงรุก สร้างมิติทางการตลาดยุคใหม่ ตอบโจทย์ผู้บริโภคมั่นใจปี 2567 รักษาแชมป์แบรนด์รองเท้าอันดับหนึ่งในใจคนไทยพร้อมลุยตลาดอาเซียนเต็มสูบ ตั้งเป้าโตขึ้น 15%
นายนิติ กิจกำจาย กรรมการบริหาร บริษัท บิ๊กสตาร์ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายรองเท้าแบรนด์ “แกมโบล” (GAMBOL) เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดรองเท้าแตะลำลองในไทย มีมูลค่าประมาณ 10,000 ล้านบาท โดยมูลค่าตลาดรองเท้าลำลองถือว่าค่อนข้างคงที่มาหลายปี ทั้งนี้ในปี 2566 บริษัทฯ มีรายได้รวมเป็นมูลค่ากว่า 1,000 ล้านบาท ยังคงมีสัดส่วนออฟไลน์เป็นหลัก เกินกว่า 95% โดยมียอดขายรองเท้าแตะรุ่นไฟล่อนแบบสวมสร้างยอดขายได้สูงสุด ซึ่งยอดขายรวมแบ่งเป็นสัดส่วนผ่านช่องทางการขายเป็น Traditional Trade 54%, Modern Trade 22%, DP 8% (DP = Department Store) และส่งออกไปยังกลุ่มประเทศ CLMV 15% ที่เหลือเป็นช่องทางออนไลน์นอกจากนี้ในปี 2566 บริษัทฯ ยังได้ส่งออกรองเท้าเพิ่มขึ้นอีก2 ประเทศ คือ แอลจีเรียและอังกฤษปัจจุบันในอาเซียนมีสัดส่วนการส่งออกประมาณ 15% จากยอดส่งออกต่างประเทศ และมียอดการขายทั้งหมดของปี 2566 ถึงปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 115 ล้านบาทโดยไม่รวมรายได้จากกลุ่มประเทศ CLMV
ในปี 2566 คือปีที่ผู้บริโภคกลับมาใช้ชีวิต และใช้จ่ายมากขึ้น เพื่อหาประสบการณ์และชดเชยการใช้ชีวิตในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่ยังคงอยู่บนความวิตกกังวลด้านเศรษฐกิจที่ยังไม่แน่นอน โดยเฉพาะเศรษฐกิจโลก มองว่าผู้บริโภคมีความใส่ใจในการใช้ชีวิต ทั้งเรื่องส่วนตัว สุขภาพ สังคม ที่ลงลึกในรายละเอียดมากขึ้น และพร้อมที่จะปรับตัวรับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอยู่เสมอ จากโควิด-19 เศรษฐกิจ การเมือง สังคม หรือสงครามที่เกิดขึ้นตลอด 3 ปีที่ผ่านมาต้องยอมรับว่าปัจจุบันเป็นยุคแห่งความเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง ทั้งพฤติกรรม ความต้องการ และความคาดหวังของผู้บริโภคนั้นเปลี่ยนไปจากแต่ก่อนอย่างสิ้นเชิง ส่งผลให้บริษัทฯ ไม่สามารถหยุดยิ่ง และหยุดการพัฒนาในด้านต่างๆ ได้ การทำตลาดแบบเดิม ๆ ก็ไม่สามารถนำไปสู่ผลสำเร็จในแบบที่ต้องการอีกต่อไป ซึ่งในปีหน้าก็ยังเป็นปีที่มีความท้าทายของโลกธุรกิจการตลาด จากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคมีความซับซ้อนขึ้น ความแตกต่างทางความคิดของคนละ Generation มองประเด็นเดียวกันในมุมที่ต่างกัน ยุคนี้ผู้บริโภคมองหาคุณค่าและประสบการณ์ใหม่ จากการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ทำให้ทางบริษัทฯ จะต้องมีการวางแผนรับมือเพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคและยังคงรักษาตำแหน่งแบรนด์รองเท้าอันดับหนึ่งในใจคนไทยต่อไป
สำหรับการทำการตลาดในปี 2024 ทางบริษัทฯ จะเน้นมิติทางการตลาดที่ผู้บริโภคกำลังให้ความสำคัญ นั่นคือการฟังเสียงของผู้บริโภค ปัจจุบันผู้บริโภคจะใส่ใจในคุณค่าของสิ่งต่าง ๆ มากขึ้นโดยเน้นที่ความยั่งยืนความยืดหยุ่นและความสามารถในการแสดงความคิดเห็น เสียงของผู้บริโภคจึงเป็นเรื่องสำคัญในการพัฒนาสินค้าของแบรนด์แกมโบลโดยที่ไม่ละเลยประเด็น ความกังวลในเศรษฐกิจการกังวลในเศรษฐกิจยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ผู้บริโภคต้องจัดการซึ่งอาจส่งผลให้บริษัทต้องพัฒนากลยุทธ์การตลาดที่คำนึงถึงสภาพเศรษฐกิจที่ยังไม่แน่นอน แต่สิ่งที่แน่นอนคือความคุ้มค่าไม่ใช่แค่เรื่องราคา นอกจากนี้ ผู้บริโภคยังมี ความใส่ใจในการใช้ชีวิตมากขึ้นทั้งด้านส่วนตัว สุขภาพและสังคม แกมโบลจึงมีนวัตกรรมรองรับการใช้ชีวิตและสุขภาพเท้าที่ดีให้กับลูกค้าทุกคน พร้อมเน้นความยืดหยุ่นและความรู้สึกสบายใจที่ผู้บริโภคต้องการเพื่อนแท้ โดยเสนอสินค้าและบริการที่ตรงตามความต้องการของผู้บริโภค และสามารถให้ข้อมูลกับผู้บริโภคได้เมื่อผู้บริโภคต้องการขณะเดียวกัน ความสนใจในความยั่งยืนคือความสำคัญของคนรุ่นใหม่ความยั่งยืนทางสังคมและสิ่งแวดล้อมยังคงเป็นหนึ่งในหลักการตัดสินใจของผู้บริโภคเจนเนอเรชั่นใหม่ แกมโบลจึงใส่ใจในกระบวนการผลิตและพยายามให้เกิดความคุ้มค่าในแง่การผลิตสินค้าที่ทนทานแก่ผู้บริโภคมาโดยตลอดรวมถึงอนาคตในการใช้วัสดุรีไซเคิลเข้ามาผสมผสานในกระบวนการผลิตทั้งนี้ทางบริษัทฯ ได้รับ ความสนใจจากประเทศในอาเซียน โดยเฉพาะกลุ่มประเทศ CMLV ทางแกมโบลได้ทำการตลาดในประเทศกัมพูชาซึ่งตอนนี้แบรนด์แกมโบลคือแบรนด์อันดับ1 ในการสำรวจผู้บริโภคของประเทศกัมพูชา และกำลังเร่งขยายการทำการตลาดไปยังประเทศเวียดนาม และลาวซึ่งมีการทดลองทำการตลาดในช่วง2-3 ปีที่ผ่านมาแล้ว
“โดยภาพรวมในปี 2567 ของตลาดรองเท้าลำลองในประเทศน่าจะเติบโตขึ้นประมาณ 5% เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจโลกที่มีผลกระทบ ผลพ่วงจากสงครามต่างๆ ทำให้มูลค่าตลาดรองเท้าลำลองขยับตัวได้ไม่มากทั้งนี้คาดว่าในปีหน้าทางแกมโบล จะเติบโตขึ้น15%ได้อย่างแน่นอน” นายนิติ กิจกำจาย กล่าวทิ้งท้าย