รู้จัก ” NEO ” บริษัท FMCG สัญชาติไทย กับก้าวใหม่สู่บริษัท FMCG แห่งนวัตกรรมของเอเชีย


เชื่อว่าผู้บริโภคคนไทยต้องคุ้นเคยกับสินค้าอุปโภคกันเป็นอย่างดี หรือจะเรียกกันว่าสินค้า FMCG (Fast-Moving Consumer Goods) ที่ครอบคลุมการดูแลร่างกายตั้งแต่หัวจรดเท้า ซึ่งในอุตสาหกรรมนี้เรียกว่ามีการแข่งขันดุเดือด และมีผู้เล่นที่หลากหลาย ทั้งผู้เล่นไทยและจากต่างประเทศ

“บริษัท นีโอ คอร์ปอเรท จำกัด (มหาชน) หรือ NEO” ผู้ทำการตลาด ผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคชั้นนำของไทย ที่ดำเนินธุรกิจมากว่า 34 ปี แม้คู่ต่อสู้ในตลาดจะเป็นผู้เล่นจากต่างชาติที่แข็งแกร่ง แต่ NEO ก็สามารถเทียบชั้นก้าวเข้าสู่การเป็นผู้ประกอบการรายใหญ่ของไทยได้ พร้อมเตรียมยุทธศาสตร์สู่การเป็นบริษัท FMCG แห่งนวัตกรรมของเอเชีย ที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับผู้บริโภค

ตลอด 34 ปีที่ผ่านมา NEO ยังคงสร้างสรรค์นวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างต่อเนื่อง พร้อมยังรุกขยายพอร์ตฟอลิโอให้ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย เพื่อการดูแลชีวิตประจำวันของผู้บริโภคและยกระดับความสุขของผู้บริโภคให้ทุกวันดียิ่งขึ้น

เมื่อดูเส้นทางธุรกิจของ NEO เรียกว่ามีความน่าสนใจไม่น้อย บริษัทได้ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2532 ภายใต้ชื่อ บริษัท ไบโอ คอนซูเมอร์ จำกัด มีปณิธานที่จะพัฒนาและนำเสนอสินค้าอุปโภคที่มีคุณภาพและหลากหลายในราคาที่เหมาะสม เป็นตัวเลือกให้กับผู้บริโภคคนไทย และแข่งขันกับแบรนด์ต่างประเทศได้

ในปีเดียวกันนี้เองก็ได้เปิดตัวสินค้าแรกออกสู่ตลาด ก็คือ ผลิตภัณฑ์โคโลญแบรนด์ “เอเวอร์เซ้นส์ (Eversense)” มีการวางจุดยืนชัดเจนว่าเป็นโคโลญสำหรับวัยรุ่นหญิง จับตลาดได้ตรงกลุ่มเป้าหมาย แตกต่างจากแบรนด์อื่นในตลาด ซึ่งใช้เวลาไม่นานก็ได้รับความนิยมอันดับ 1 ในกลุ่มสินค้าโคโลญสำหรับวัยรุ่นหญิง จากนั้นได้ออกสินค้าโคโลญ และโรลออนสำหรับผู้ชายภายใต้แบรนด์ “ทรอส (TROS)” เป็นโคโลญสำหรับผู้ชายแบรนด์แรกของประเทศไทย ประสบความสำเร็จครองอันดับ 1 มาตลอดจนถึงปัจจุบัน

หลังจากนั้นก็ได้แตกไลน์สินค้าเข้าสู่กลุ่มผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เพื่อให้ครอบคลุมกับไลฟ์สไตล์ผู้บริโภค ทำให้ NEO มีสินค้าอุปโภคครอบคลุมกลุ่มผลิตภัณฑ์หลัก 3 กลุ่ม ภายใต้ 8 แบรนด์ ประกอบด้วย

  1. กลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ในครัวเรือน(Household Products) ประกอบด้วย 3 แบรนด์ ได้แก่
  • แบรนด์ไฟน์ไลน์ (Fineline)  เช่น ผลิตภัณฑ์ซักผ้า ผลิตภัณฑ์ปรับผ้านุ่ม และผลิตภัณฑ์รีดผ้าเรียบและอัดกลีบผ้า
  • แบรนด์สมาร์ท (Smart) เช่น ผลิตภัณฑ์ซักผ้า และผลิตภัณฑ์ปรับผ้านุ่ม สูตรแอนตี้แบคทีเรีย
  • แบรนด์โทมิ(Tomi)  เช่น  ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดพื้น และผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดห้องน้ำ

  1. กลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคล (Personal Care Products) ประกอบด้วย 4 แบรนด์ ได้แก่
  • แบรนด์บีไนซ์ (BeNice) เช่น ผลิตภัณฑ์ครีมอาบน้ำและผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดจุดซ่อนเร้น
  • แบรนด์ทรอส (TROS) เช่น ผลิตภัณฑ์โคโลญ และผลิตภัณฑ์โรลออนสำหรับผู้ชาย
  • แบรนด์เอเวอร์เซ้นส์ (Eversense) เช่น ผลิตภัณฑ์แป้ง ผลิตภัณฑ์โคโลญ และผลิตภัณฑ์โรลออนสำหรับผู้หญิง
  • แบรนด์วีไวต์ (Vivite) เช่น ผลิตภัณฑ์โรลออนสำหรับผู้หญิง

  1. กลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้สำหรับเด็ก (Baby and Kids Products) ประกอบด้วย 1 แบรนด์ ได้แก่
  • แบรนด์ดีนี่ (D-nee) เช่น ผลิตภัณฑ์ซักผ้าเด็ก ผลิตภัณฑ์ปรับผ้านุ่มเด็ก และผลิตภัณฑ์อาบน้ำและสระผมเด็ก เป็นต้น

นายสุทธิเดช ถกลศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นีโอ คอร์ปอเรท จำกัด (มหาชน) หรือ NEO เปิดเผยว่า “บริษัทเป็นผู้ทำการตลาด ผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคชั้นนำของประเทศ ซึ่งเป็นแบรนด์ชั้นนำของคนไทยที่มีคุณภาพ และมีเอกลักษณ์ที่โดดเด่น ภายใต้แบรนด์ผลิตภัณฑ์ในพอร์ตโฟลิโอที่แข็งแกร่ง และคุณภาพเทียบเท่าระดับสากล ยึดมั่นการพัฒนา และนำเสนอสินค้าอุปโภคที่สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภค ส่งมอบสินค้าที่มีคุณภาพ และหลากหลายครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์ด้วยราคาที่เหมาะสม พร้อมประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในตลาดสินค้าอุปโภคมากว่า 34 ปี โดยมีวิสัยทัศน์มุ่งมั่นที่จะเป็นบริษัท FMCG แห่งนวัตกรรมของเอเชีย ที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับผู้บริโภค ส่งมอบนวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ใหม่ ที่ช่วยดูแลชีวิตประจำวันของทุกคนให้ได้รับความสะดวกสบาย และมีคุณภาพชีวิตที่ดีมากขึ้น เพื่อเป็นการยกระดับความสุขของผู้บริโภคให้ทุกวันดียิ่งขึ้น (Uplift Essentials for Everyday Betterment)”

โดยจุดแข็งหลักของ NEO ก็คือ การเป็นบริษัทสัญชาติไทย พร้อมกับมีโรงงานผลิตในไทย ทำให้มีความเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคคนไทยได้เป็นอย่างดี จึงให้ความสำคัญกับการพัฒนาสินค้าที่มีคุณภาพ มีนวัตกรรมที่โดดเด่น ตอบสนองผู้บริโภคทุกช่วงวัย และทุกไลฟ์สไตล์

อีกทั้งยังไม่หยุดนิ่งในการมองหาโอกาสทางการตลาดใหม่ ๆ ในการแตกไลน์สินค้าหรือเสริมพอร์ตฟอร์ลิโอให้มีความแข็งแกร่ง ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา NEO ได้ขยายฐานผู้บริโภคให้กว้างขวางยิ่งขึ้น จากกลุ่มผู้บริโภคส่วนใหญ่ (Mass Market) ไปยังกลุ่มพรีเมียมแมส (Premium Mass) และกลุ่มพรีเมียม (Premium) อีกทั้งรักษาลูกค้าปัจจุบันให้กลับมาซื้อสินค้าซ้ำได้อย่างต่อเนื่อง (Brand Loyalty) และยังมีการส่งออกไปจำหน่ายยังต่างประเทศ 16 ประเทศ โดยมีตลาดหลัก ได้แก่ ประเทศเวียดนาม ประเทศกัมพูชา ประเทศลาว และประเทศเมียนมาร์

นอกจากนี้ ยังได้มีการคิดค้นพัฒนาสูตรผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์แบบใหม่อยู่ตลอดเวลา เพื่อตอบรับกับเทรนด์ของโลก ยกตัวอย่างเช่น ผลิตภัณฑ์ที่ใช้แนวกลิ่น และส่วนผสมหลักจากสารสกัดจากธรรมชาติ (Natural and Organic) รวมถึงผลิตภัณฑ์ที่ช่วยดูแลปกป้องจากเชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัส และมลภาวะต่าง ๆ อีกด้วย

เมื่อเดือนตุลาคม 2566 ที่ผ่านมา ถือเป็นก้าวสำคัญของ NEO ที่ได้ทำการยื่นไฟลิ่งต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (Initial Public Offering: IPO) จำนวนไม่เกิน 78 ล้านหุ้น คิดเป็นไม่เกิน 26% ของจำนวนหุ้นสามัญจดทะเบียนของบริษัท

จุดประสงค์หลักในการระดมทุนเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ นั้น ก็เพื่อนำมาใช้เป็นเงินลงทุนในการขยายธุรกิจ เพื่อติดสปีดในการเติบโตในอนาคต รองรับการเติบโตแบบก้าวกระโดด

โดยบริษัทฯ มีรายได้จากการขายเติบโตอย่างต่อเนื่องทุกปี จาก 6,767.54 ล้านบาท ในปี 2563 เป็น 8,300.69 ล้านบาท ในปี 2565 คิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ย (CAGR) 10.75% ต่อปี และมีรายได้จากการขายงวด 9 เดือน ปี 2566 อยู่ที่ 7,028.86 ล้านบาท เติบโต 17.58% จากงวดเดียวกันของปีก่อนหน้า ซึ่งมีรายได้จากการขายอยู่ที่ 5,977.93 ล้านบาท นอกจากนี้ กำไรสุทธิงวด 9 เดือนปี 2566 เพิ่มขึ้น 124.84% จาก 306.56 ล้านบาท ในงวดเดียวกันของปีก่อนหน้า เป็น 689.28 ล้านบาทในงวดนี้

ตลอดระยะเวลา 34 ปีที่ผ่านมา NEO ได้ส่งมอบนวัตกรรมที่ช่วยยกระดับความสุขของผู้บริโภคให้ทุกวันดียิ่งขึ้น ผ่านการนำเสนอผลิตภัณฑ์หลากหลายแบรนด์ และไม่หยุดนิ่งที่จะพัฒนาสินค้าใหม่ ๆ ตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นที่จะเป็นบริษัท FMCG แห่งนวัตกรรมของเอเชีย