กลุ่มบริษัทสยามพิวรรธน์ ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจค้าปลีกชั้นนำเจ้าของและผู้บริหารจุดหมายปลายทางระดับโลก อย่าง สยามพารากอน ไอคอนสยาม และสยาม พรีเมี่ยม เอาท์เล็ต กรุงเทพตอกย้ำความเป็นผู้นำในตลาด Luxury Retail ในประเทศไทย ที่ได้รับความไว้วางใจจากแบรนด์ดังระดับโลก ด้วยยอดขายสินค้ากลุ่มลักซ์ซูรี่ แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปี 2023 โดยยอดขายของลักซ์ซูรี่แบรนด์ที่ศูนย์การค้าในเครือของสยามพิวรรธน์ เติบโตอย่างก้าวกระโดดในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ทำให้มีอัตราการเติบโตสะสมถึง 300% เมื่อเทียบกับก่อนสถานการณ์โควิด ความสำเร็จครั้งประวัติศาสตร์นี้สอดคล้องกับแผนการขยายพื้นที่โซนลักซ์ซูรี่ทั้งที่สยามพารากอนและไอคอนสยาม โดยเฉพาะการเปิด Luxe Hall ที่สยามพารากอนในเดือนตุลาคม 2566 ส่งผลให้แบรนด์ดังระดับโลกร่วมเปิดแฟล็กชิฟสโตร์หรือบูติกช็อปแห่งใหม่มากมายตลอดในปีที่ผ่านมา
แคโรไลน์ เมอร์ฟีย์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ สายการขายและธุรกิจสัมพันธ์ บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด กล่าวว่า “กลุ่มสยามพิวรรธน์ยังคงอยู่แถวหน้าในตลาดลักซ์ซูรี่ และได้รับความไว้วางใจจากแบรนด์ชั้นนำระดับโลก สะท้อนให้เห็นจากยอดขายลักซ์ซูรี่แบรนด์ ที่สยามพารากอน และไอคอนสยาม ยังคงติดอันดับสูงสุดในเอเชีย และบางแบรนด์ติดอันดับระดับท็อปของโลก ทำให้ศูนย์การค้าของกลุ่มสยามพิวรรธน์ ยังครองแชมป์ส่วนแบ่งตลาดรวมกันสูงสุดในตลาด Luxury Retail ในประเทศไทย และยังเป็นศูนย์การค้าที่เป็น Preferred choice สำหรับแบรนด์ดังต่างๆ ที่ต้องการจะเปิดร้านค้าแห่งแรก หรือการขยายธุรกิจเพื่อสร้างแฟล็กชิพสโตร์ระดับโลก ทำให้เราสามารถส่งมอบประสบการณ์ สุดพิเศษและแตกต่างก่อนใคร”
ในปี 2566 แบรนด์ดังระดับโลกได้เปิดลักซ์ซูรีบูติกแห่งใหม่จำนวน 35 แบรนด์ ทั้งที่สยามพารากอนและไอคอนสยาม และมีแผนงานที่จะเปิดอีก 20 แบรนด์ในปี 2567 บูติกสโตร์เปิดใหม่ในปี 2566 รวมถึง Loro Piana แบรนด์แฟชั่นเรียบหรูจากอิตาลีเปิดบูติกแห่งแรกในประเทศไทย แฟชั่นแบรนด์เนมยอดนิยม อย่าง Louis Vuitton (หลุยส์ วิตตอง) และ Fendi (เฟนดิ) เปิดบูติกสำหรับผู้ชายแห่งแรกที่สยามพารากอน รวมทั้งนาฬิกาแบรนด์หรูที่มาเปิด บูติกแห่งใหม่ อาทิ Breitling, Chopard, Franck Muller, Gucci Watch, IWC, Jaeger Le Coultre, Panerai, Piaget, Rolex, Tag Heuer, Tudor, Vacheron Constantin และ Zenith ซึ่งบูติกส่วนใหญ่เป็นแบรนด์ที่เปิดครั้งแรกในประเทศไทยและเป็นแบบเอ็กซ์คลูซีฟเฉพาะที่สยามพารากอนเท่านั้น ขณะที่ไอคอนสยามเตรียมขยายพื้นที่สำหรับลักซ์ซูรี่เพิ่มอีกเท่าตัวในปีนี้ พร้อมกับเตรียมเผยโฉมร้านใหม่ในรูปแบบดูเพล็กซ์ (Duplex) ของแบรนด์ดัง ซึ่งจะเป็นบูติกแห่งแรกในประเทศไทย
นอกจากนี้ ตลอดในปี 2566 สยามพารากอน และไอคอนสยาม ยังได้รับเลือกจากแบรนด์หรูให้เป็นพื้นที่สำหรับการเปิด Pop-up Store และจัดแสดงนิทรรศการจำนวน 24 ครั้ง รวมทั้งงานโชว์เคสครั้งยิ่งใหญ่ในไทย “Hermès in the Making” นิทรรศการที่เนรมิตพื้นที่ The Pinnacle ของไอคอนสยาม ในช่วงเดือนพฤศจิกายน ถึงธันวาคม 2566 ถ่ายทอดเรื่องราวความประณีตของช่างฝีมือ 10 คนจากโรงผลิตของแบรนด์ที่นำเสนอเทคนิคงานคราฟต์ผ่านการสาธิต การเวิร์กช้อป และกิจกรรมต่างๆ ที่แบรนด์ใส่ใจในทุกรายละเอียด และได้รับความสนใจจากผู้เข้าชมอย่างล้นหลาม และในปี 2567 คาดว่าจะมีการเปิด Pop-up Store และจัดแสดงนิทรรศการมากกว่า 23 งาน เพื่อสร้างประสบการณ์สุดพิเศษให้กับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง
ด้วยความมุ่งมั่นในการสร้างปรากฏการณ์ลักซ์ซูรี่ระดับโลกเพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตแบบลักซ์ซูรี่แห่งโลกอนาคต สยามพิวรรธน์ยังคงร่วมมือกับแบรนด์ดังระดับโลกในการ curate สินค้าและบริการในรูปแบบใหม่ๆ ทั้งในสยามพารากอน และไอคอนสยาม เสริมศักยภาพเพื่อให้สามารถส่งมอบประสบการณ์การใช้ชีวิตแบบพรีเมียมหลากหลาย และดึงดูดลูกค้าทั้งคนไทย และนักท่องเที่ยวต่างชาติกว่า 350,000 คนต่อวัน ความสำเร็จอย่างต่อเนื่องในธุรกิจลักซ์ซูรีในประเทศไทยจะเปิดทางให้ศูนย์การค้าในเครือของสยามพิวรรธน์ เดินหน้าสู่เป้าหมายการเป็นจุดหมายปลายทาง ลักซ์ซูรี่ (Luxury Destination) ที่ดีที่สุดในเอเชีย