BEAUTY เผยแผนธุรกิจปี 67 ตั้งเป้ารายได้โต 66% พร้อมพลิกทำกำไร ชู 3 กลยุทธ์หลัก 1.เพิ่มประสิทธิภาพธุรกิจ (Business Performance) 2.บริหารจัดการต้นทุน (Cost Efficiency) 3.เพิ่มความสามารถบุคคลากร (People) ปรับกลยุทธ์การตลาดดัน Beauty Buffet สร้างกระแสความสวย พร้อมออกผลิตภัณฑ์ใหม่ Innovative & Trendy จำนวน 46 SKUs เดินหน้าเพิ่มรายได้ทุกช่องทางจำหน่าย
นายพิศาล ธาราพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิวตี้ คอมมูนิตี้ จำกัด (มหาชน) (BEAUTY) ผู้ดำเนินธุรกิจจำหน่ายปลีกผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางและบำรุงผิวภายใต้แนวคิด Live a Beautiful Life เปิดเผยว่า ปี 2567 บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้เติบโต 66% ผลประกอบการพลิกกลับมามีกำไร โดยปรับกลยุทธ์หลัก 3 ด้าน ได้แก่ 1.เพิ่มประสิทธิภาพธุรกิจ (Business Performance) 2. บริหารจัดการต้นทุน (Cost Efficiency) 3. เพิ่มความสามารถบุคคลากร (People)
ทั้งนี้บริษัทมุ่งเน้นทำการตลาดในประเทศมากขึ้น ทั้งในด้านการสื่อสารแบรนด์ ผลิตภัณฑ์ และช่องทางจำหน่าย เพื่อให้ “Beauty Buffet” กลับมาสร้างกระแสความสวยให้กับกลุ่มเป้าหมายทั่วประเทศอีกครั้ง ขณะเดียวกันมีแผนออกผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีมาร์จิ้นสูงในกลุ่ม Innovative & Trendy จำนวน 46 SKUs เพื่อตอบโจทย์ความต้องการใช้งานที่หลากหลาย และเทรนด์ด้านสุขภาพ ความงาม ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
“บริษัทมุ่งมั่นในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ให้มีความหลากหลาย ครอบคลุมความต้องการผู้บริโภค รวมถึงวางแผนการตลาดด้วยภาพลักษณ์ใหม่ มุ่งเน้นเพิ่มความสามารถการทำกำไร ควบคุมค่าใช้จ่ายให้อยู่ในเกณฑ์ดีอย่างต่อเนื่อง คาดว่าในปีนี้รายได้ของบริษัทจะเติบโตประมาณ 66% ขณะเดียวกันแบรนด์ Beauty Buffet จะกลับมาสร้างความคึกคักให้กับตลาดเครื่องสำอางในประเทศอีกครั้ง”นายพิศาล กล่าว
นอกจากนี้มีแผนขยายช่องทางร้าน BEAUTY BUFFET SHOP จำนวน 56 สาขา โดยเป็นร้านค้าปลีกรูปแบบใหม่ในทำเลศักยภาพ ที่สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าคนไทยและนักท่องเที่ยวจำนวน 12 แห่ง และรีโนเวทสาขาเดิมจำนวน 4 แห่ง ควบคู่ไปกับการสื่อสารการตลาดด้วยภาพลักษณ์ใหม่ ด้วยกลยุทธ์แบบ O2O เต็มรูปแบบ และ พรีเซนเตอร์ KOL ที่หลากหลาย เพื่อผลักดันยอดขายต่อบิลและเพิ่มยอดขายต่อสาขาให้สูงขึ้น
ช่องทางโมเดิร์นเทรด มุ่งเน้นการนำผลิตภัณฑ์ที่ปรับรูปแบบสินค้า ให้มีขนาดและราคาที่เหมาะสม รวมทั้งผลิตภัณฑ์ใหม่เข้าวางจำหน่ายมากขึ้น ควบคู่ไปกับการขยายช่องทางสินค้าอุปโภค (Consumer Product) เช่น บิ๊กซี โลตัส ท็อปส์ วัตสัน CJ Express 7-11 ฯลฯ และช่องทางเจอร์เนอร์รัลเทรด กระจายสินค้าผ่านตัวแทนจำหน่ายไปสู่ร้านค้าปลีกในระดับอำเภอ คัดเลือกตัวแทนจำหน่ายที่มีศักยภาพในพื้นที่ต่างๆ
ช่องทางอีคอมเมิร์ช ปรับปรุงรูปแบบการสื่อสาร แคมเปญกระตุ้นการขาย สิทธิประโยชน์ที่ลูกค้าจะได้รับในแพลต ฟอร์มต่างๆ ให้มีความหลากหลาย เพื่อตอบโจทย์พฤติกรรมความสนใจผลิตภัณฑ์ที่ต่างกัน ทั้งในเว็บไซต์ของ BEAUTY BUFFET แอปพลิเคชั่น “Beauty Buffet Club “และ Market Place ชั้นนำ อาทิ KONVY Shopee Lazada ประกอบกับทำการตลาดใน Social Media เน้นการขายสินค้าโดย Affiliate Marketing อาทิ TIKTOK และการ Live Streaming ในเฟสบุ๊คเพจของ BEAUTY BUFFET
ช่องทางต่างประเทศ มุ่งเน้นพัฒนาโมเดลการขายใหม่ร่วมกับพันธมิตร เพื่อให้ตัวแทนจำหน่ายในประเทศต่างๆ จำหน่ายและกระจายสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เข้าถึงกลุ่มลูกค้าทั้งขายปลีกให้กลุ่มผู้บริโภคและขายส่งให้ร้านค้า ควบคู่ไปกับการสื่อสารการตลาดด้วยภาพลักษณ์ใหม่ ด้วยกลยุทธ์การใช้พรีเซนเตอร์ KOL ที่หลากหลายในช่องทางโซเชียลมีเดีย
อีกทั้งเพิ่มไลน์ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ มากขึ้น เพื่อผลักดันยอดขายให้เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ ปัจจุบันตลาดต่างประเทศมีสินค้าวางจำหน่ายใน 12 ประเทศ ประกอบด้วย จีน ซาอุดิอาระเบีย ฮ่องกง ไต้หวัน อินโดนีเซีย เวียดนาม กัมพูชา พม่า ลาว มาลเซีย อินเดีย ญี่ปุ่น
นายพิศาล กล่าวต่อว่า นอกเหนือจากการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ และขยายตลาดในส่วนต่างๆ บริษัทยังให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการต้นทุน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพทางการเงิน ลดค่าใช้จ่ายทั้งระบบธุรกิจ สร้างความยืดหยุ่นในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาด และเพิ่มกำไรขั้นต้นของผลิตภัณฑ์ทั้งหมด อาทิ ลดค่าใช้จ่ายในการขนส่ง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการซื้อขาย บริหารจัดการสินค้าคงคลังและบรรจุภัณฑ์อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อลดค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการจัดเก็บสินค้า นอกจากนี้บริษัทมีแผนเพิ่มความสามารถบุคลากร พัฒนาทักษะ ความรู้ในการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ และใช้ตัวชี้วัดร่วมเพื่อส่งเสริมการทำงานร่วมกัน เพิ่มความสามารถในการดำเนินการและตอบสนองต่อการเติบโตของธุรกิจ