“ศจิกา ทองสุข” ผู้ผันตัวจากครูอนุบาล สู่เจ้าของ BFF บิวตี้ลักชัวรีมัลติแบรนด์ขวัญใจลูกค้าไฮโซ

  • ศจิกา ทองสุข อดีตครูอนุบาล แต่มีใจรักในการทำธุรกิจ และสนใจในเรื่องความสวยความงาม หันมาเปิดร้าน BFF วางจุดยืนเป็นร้านมัลติแบรนด์สโตร์ระดับลักชัวรีแห่งแรกในไทย
  • ใช้งบลงทุนเบื้องต้น 300,000 บาท เปิดสาขาแรกที่ทองหล่อ 13 ด้วยพื้นที่ 13 ตารางเมตร ปัจจุบันมี 8 สาขา
  • ปีนี้ตั้งเป้ารายได้ทะลุ 400 ล้านบาท 

ผันตัวจากครู สู่นักธุรกิจ

ในยุคที่ประเทศไทยเฟื้องฟูด้วยร้านมัลติแบรนด์สโตร์ เรียกได้ว่าในเกือบทุกเซ็กเมนต์ทั้งความงาม แฟชั่น กีฬา ล้วนมีร้านมัลติแบรนด์ทั้งสิ้น ในส่วนของเซ็กเมนต์ความงาม หลายคนอาจจะรู้จักชื่อ EVEANDBOY, Watsons, Boots และ SEPHORA กันเป็นอย่างดี แต่ยังมีร้าน BFF ที่เป็นร้านมัลติแบรนด์ความงาม ที่จับกลุ่มลูกค้าเฉพาะกลุ่มมากๆ อีกหนึ่งแบรนด์

BFF

BFF ก่อตั้งเมื่อปี 2558 หรือเมื่อ 9 ปีก่อน วางจุดยืนเป็นร้านมัลติแบรนด์จำหน่ายสกินแคร์ เครื่องสำอาง และสินค้าไลฟ์สไตล์ระดับลักชัวรี ภายใต้บริษัท โอซี เทรดดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด ก่อตั้งโดย “ปอ – ศจิกา ทองสุข” เปิดร้านแห่งแรกที่ทองหล่อ 13 ด้วยพื้นที่ 13 ตารางเมตร ใช้งบลงทุนก้อนแรก 300,000 บาท 

ศจิกา ผู้อยู่ในสายอาชีพครู อาจารย์มาโดยตลอด แต่มีความสนใจในเรื่องการทำธุรกิจ และความสวยความงาม จึงหันมาทำธุรกิจส่วนตัว ศจิกาสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทครุศาสตร์มหาบัณฑิตสาขาการศึกษาปฐมวัย (Early Childhood Education) จากมหาวิทยาลัยพิตต์สเบิร์กรัฐเพนซิลเวเนียประเทศสหรัฐอเมริกา และปริญญาตรีคณะครุศาสตร์ ภาควิชาประถมศึกษาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 

ก่อนหน้านี้เธอเคยเป็นครูใหญ่บริหารโรงเรียนอนุบาลอิสระปัญญา แถวย่านรามอินทรา เป็นธุรกิจของครอบครัว แต่ในปัจจุบันได้ปิดกิจการไปแล้ว มุ่งหน้าทำธุรกิจเต็มตัว 

BFF

ศจิกา เริ่มเล่าว่า “ตั้งแต่เรียนจบมา ก็เป็นอาจารย์ เป็นครูมาโดยตลอด เป็นหัวหน้าฝ่ายวิชาการ เป็นครูระดับเด็กเล็ก แต่เป็นคนมีหัวการค้า เริ่มศึกษาเองมาตลอด เห็นว่ายุคนั้นยังไม่มีร้านมัลติแบรนด์ใหญ่ๆ ในไทย เลยเริ่มเอาแบรนด์ 111SKIN เข้ามาเป็นแบรนด์แรก จับกลุ่มลูกค้าลักชัวรีโดยเฉพาะ แต่ด้วยความเป็นครูเด็กเล็กมาก่อน ก็จะถนัดในการอธิบายเรื่องยาก ให้เป็นเรื่องง่ายได้ดี เอามาปรับใช้กับธุรกิจได้ในการอธิบายสินค้าต่างๆ ที่มีส่วนผสมซับซ้อนให้ลูกค้าเข้าใจได้ง่าย”

คัดสรรแบรนด์เองทั้งหมด

ปัจจุบันร้าน BFF รวบรวมผลิตภัณฑ์สกินแคร์ เมคอัพ และไลฟ์สไตล์ลักชัวรีรวม 58 แบรนด์จาก 12 ประเทศทั่วโลก มีสินค้ามากกว่าพันรายการ แบรนด์ยอดนิยม ได้แก่ 111SKIN, Evidens de Beaute, CellCosmet, Philip B, Oribe และอีกมากมาย  

จุดเริ่มต้นที่ทำให้ศจิกาเริ่มทำธุรกิจ เพราะเป็นคนรักสวยรักงาม และชอบลองสินค้ายี่ห้อใหม่ๆ โดยที่ทุกแบรนด์ที่นำเข้ามาจำหน่ายในร้าน ศจิกาเป็นคนคัดสรรเลือกเองทั้งหมด ทดลอง และดูการทำงานของแบรนด์ 

BFF

“หลักในการเลือกแบรนด์เข้ามาจำหน่ายในร้านนั้น จะเป็นคนทดลองดูก่อนว่าชอบมั้ย จากนั้นก็ดูสตอรี่ของแบรนด์ว่าเป็นอย่างไร ดูว่ากลุ่มสินค้ามีความทับซ้อนกับแบรนด์อื่นหรือเปล่า รวมถึงดูหลักการทำงานของบริษัทนั้นๆ DNA ของแบรนด์เป็นอย่างไร แต่ที่ชอบเป็นพิเศษคือ ชอบแบรนด์ที่มีสารลิขสิทธิ์เป็นพิเศษ หรือสารลิขสิทธิ์เฉพาะที่มีแค่ในแบรนด์นี้เท่านั้น หาที่อื่นไม่ได้ เช่น แบรนด์ A มีสารสกัดพิเศษที่ช่วยเรื่องลดริ้วรอย มีเฉพาะแค่แบรนด์นี้เท่านั้น ช่วยทำให้แบรนด์ดูพิเศษขึ้น ไม่สามารถหาซื้อที่อื่นได้”

ร้าน BFF เปิดให้บริการมาแล้ว 9 ปี มีการเติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพราะมีกลุ่มลูกค้าเฉพาะกลุ่มมากๆ ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มไฮโซ, ดารา, เจ้าของกิจการ รวมไปถึงลูกคนรวย คนมีกำลังซื้อสูง โดยที่จุดเปลี่ยนสำคัญมาจากช่วง COVID-19 ทำให้ธุรกิจเติบโตแบบก้าวกระโดด เนื่องจากมีการล็อกดาวน์ หลายคนไม่สามารถเดินทางไปซื้อของที่ต่างประเทศได้ ทำให้ต้องมาซื้อของจาก BFF 

ขยายคลินิก อัปยอดขาย 

ปัจจุบัน BFF มีร้านค้าทั้งหมด 8 สาขา ได้แก่ สยามพารากอน, ทองหล่อ 11, เซ็นทรัลลาดพร้าว, เมกาบางนา, เซ็นทรัลชิดลม, Comma &nd (Central World), Firster สาขาสยามสแควร์ และตึกมหานคร

นอกจากรายได้หลักจะมาจากร้าน BFF แล้ว เมื่อปี 2566 ที่ผ่านมายังขยายธุรกิจไปยังกลุ่มคลินิกเสริมความงาม และการชะลอวัย ภายใต้ชื่อ The Wellness by BFF ทำให้มีรายได้เติบโตสูงขึ้น ซึ่งปัจจุบันมีแค่สาขาทองหล่อ 1 สาขา ต่อไปในอนาคตอาจจะพ่วงไปกับร้าน BFF ร้านอื่น เพื่อช่วยสร้างยอกขายให้เติบโตมากขึ้น เป็นการอัปเซลล์ต่อบิลให้สูงขึ้นด้วย 

ในส่วนของรายได้ปี 2566 ที่ผ่านมา มียอดขายรวม 362 ล้านบาท เติบโต 29% มีผลกำไรสุทธิรวมอยู่ที่ 35 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 125% ในปี 2567 นี้ ตั้งเป้าเติบโต 26% หรือมีรายได้ 463 ล้านบาท ในปีนี้มีการใช้งบการตลาดเพิ่มขึ้น 60%

ทั้งนี้ สามารถแบ่งสัดส่วนรายได้เป็น 50-60% สกินแคร์/เครื่องสำอาง, 30% อาหารเสริม, 10% ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม และ 10% ธุรกิจ Wellness / สินค้าไลฟ์สไตล์ / สินค้าแม่และเด็ก โดยที่กว่า 20 แบรนด์เป็นแบรนด์เอ็กซ์คลูซีฟที่มีจำหน่ายแค่ที่ BFF เท่านั้น

ปัจจุบัน BFF มีฐานลูกค้าในระบบ CRM กว่า 50,000 ราย แบ่งเป็น 4 กลุ่มด้วยกันได้แก่ Diamond, Platinum, Rose Gold และ Silver ในแต่ละกลุ่มจะได้รับสิทธิพิเศษ และระดับส่วนลดสินค้าที่แตกต่างกันไป โดยกลุ่ม Platinum จะเป็นสัดส่วนที่สร้างรายได้มากที่สุด และกลุ่ม Diamond เป็นกลุ่มลูกค้าที่มีลอยัลตี้กับแบรนด์มาอย่างยาวนาน

โดยกลุ่มลูกค้ามีอัตรากลับมาซื้อซ้ำ 70% มียอดใช้จ่ายเฉลี่ย 8,000 บาท ส่วนช่องทางออนไลน์มียอดใช้จ่ายเฉลี่ย 4,000-5,000 บาท ศจิกาเล่าว่าช่องทางออนไลน์ก็เป็นแพลตฟอร์มสำคัญ โดยเฉพาะ LINE Official Account จะมียอดการใช้จ่ายใกล้เคียงกับการซื้อหน้าร้าน เพราะมี BA คอยให้คำแนะนำ 

ส่วน TikTok Shop ก็เป็นช่องทางที่มาแรง ถ้าตรงกลุ่มเป้าหมาย ก็ขายได้ โดยสามารถขายวิตามินกระปุกละ 5,000 บาทได้ สร้างยอดขายเดือนละ 2 ล้านบาท แสดงว่าถ้าคอนเทนต์ถูกกลุ่ม โดนใจ กลุ่มลูกค้าก็ยอมใช้จ่าย เช่นกัน