มอง ‘ธุรกิจการแพทย์ความงาม’ 7 หมื่นล้าน ที่กำลังกลายเป็นสมรภูมิของผู้เล่น ‘เจ้าใหญ่’ เต็มตัว

ต้องยอมรับว่ายุคนี้ผู้บริโภคจะเปิดกว้างมากขึ้นต่อการทำศัลยกรรมและเสริมความงาม ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่ประเทศไทยเป็น 1 ในประเทศที่มีการเสริมความงามมากที่สุดในปี 2563 และภาพรวมของอุตสาหกรรมเสริมความงามในประเทศนั้นพบว่ามีการเติบโตขึ้นทุก ๆ ปี

ตลาด 7 หมื่นล้าน โตเฉลี่ยเกือบ 10%

จากการศึกษาของ Grand View Research พบว่า ระหว่างปี 2565-2573 จะมีการเติบโตเฉลี่ยสะสมต่อปี (CAGR) ร้อยละ 9.70% โดยในปี 2566 มีมูลค่า 6.4 หมื่นล้านบาท และปี 2567 จะมีมูลค่า 7 หมื่นล้านบาท โดยคาดการณ์จนถึงปี 2573 จะมีมูลค่าเพิ่มเป็น 1.2 แสนล้านบาท

อย่างไรก็ตาม ตลาดในปัจจุบันเป็นตลาดที่ผู้เล่น รายเล็ก อยู่ยาก (มี 1-3 สาขา) เพราะลูกค้าจะมองที่ แบรนด์ เป็นหลัก เนื่องจากต้องการ ความเชื่อถือ ซึ่งผู้เล่นรายใหญ่ (มีมากกว่า 10 สาขาขึ้นไป) นั้นมีเงินลงทุนมากกว่า มีความน่าเชื่อถือ ซึ่งผู้บริโภคยินดีที่จะจ่ายแพงขึ้นเพื่อแลกกับความสบายใจ ทำให้ต่อไปตลาดจะเป็นของเจ้าใหญ่มากขึ้น

ปัจจุบัน คลินิกความงามคาดว่ามีประมาณ 5 พันแห่ง ทั่วประเทศไทย แบ่งเป็นกลุ่มไฮเอนด์ พรีเมียม และแมส โดยหากวัดจากราคาและนวัตกรรมที่ใช้ กลุ่มที่ใหญ่ที่สุดคือ พรีเมียมแมส และแมส เป็นหลัก

“ธุรกิจนี้ไม่ได้เข้ามาง่าย มันมีกำแพงในการเข้ามาระดับหนึ่ง อย่างน้อยต้องมีแพทย์ มีนวัตกรรมที่ดี แน่นอนว่ามีกลุ่มลูกค้าที่มองเรื่องราคา แต่มีลูกค้าที่ยอมจ่ายแพงขึ้น 20% แลกความน่าเชื่อถือ” นายแพทย์อภิรุจ ทองวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เดอะคลีนิกค์ คลินิกเวชกรรม จำกัด (มหาชน) อธิบาย

คลินิกในต่างจังหวัดกำลังเติบโต

ในส่วนของตลาดต่างจังหวัด ปัจจุบันมีโอกาสมากขึ้น เพราะมีความ เป็นคนเมืองมากขึ้น เนื่องจากการมาของโซเชียลมีเดีย นอกจากนี้ กำลังซื้อก็ใกล้เคียงกับคนกรุงเทพฯ ทำให้ปัจจุบันเซอร์วิสของคลินิกมีความใกล้เคียงกับกรุงเทพฯ ดังนั้น การขยายสาขาของ เดอะคลีนิกค์ จะแบ่งเป็นกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดอย่างละครึ่ง โดยปีนี้คาดว่าจะขยายสาขารวม 15-20 สาขา ใช้งบลงทุน 300 ล้านบาท เฉลี่ย 25-30 ล้านบาทต่อสาขา

อย่างไรก็ตาม แบรนด์ที่จะขยายไปต่างจังหวัดจะต้องมีความแข็งแรง น่าเชื่อถือ อีกทั้งต้องคุมคุณภาพให้ได้ ดังนั้น นี่จึงเป็นความท้าทายของการขยายธุรกิจไปต่างจังหวัด

“ถ้าขยายไปต่างจังหวัดได้ แบรนด์ก็จะยิ่งเป็นที่รู้จัก นอกจากนี้ การขยายไปต่างจังหวัดยังดีกับธุรกิจศัลยกรรม เพราะลูกค้าสามารถไปรับการดูแลที่สาขาใกล้บ้านได้ ไม่ต้องมาอยู่กรุงเทพฯ”

 

เทรนด์ปีนี้เน้นสวยแบบธรรมชาติ

ปัจจุบัน ลูกค้าที่ใช้บริการราว 75% เป็นเพศหญิง อีก 25% เป็นเพศชาย จากในอดีตกว่า 90% เป็นเพศพญิง แสดงให้เห็นว่าผู้ชายก็หันมาใช้บริการเสริมความงามมากขึ้น นอกจากนี้ กลุ่มลูกค้าที่ใช้บริการยัง เด็กลงเรื่อย ๆ 

ขณะที่เทรนด์ตลาดความงามในปีนี้ ในส่วนของการดูแลผิวจะเน้นให้เหมือนดูแลจากภายใน จากเมื่อก่อนฉีดโบท็อกซ์, ฉีดฟีลเลอร์ แต่ตอนนี้เน้นฟื้นฟูจากภายใน และไม่ต้องการให้เปลี่ยนแปลงเยอะจนดูไม่เหมือนเดิม

“คนต้องการอะไรเป็นธรรมชาติมากขึ้น ไม่ได้ปากฉ่ำแบบดาราฮอลลีวูด ไม่ได้ตะโกนว่าทำมา”

ปักเป้า 3,000 ล้าน เติบโตเหนือตลาด

ในปีที่ผ่านมา บริษัทมีรายได้รวม 2,285 ล้านบาท เติบโต 39% สำหรับปีนี้ตั้งเป้าหมายรายได้ 3,000 ล้านบาท โดยนอกเหนือจากการขยายสาขาเพิ่มแล้ว บริษัทได้วางงบลงทุนอีก 200 ล้านบาท เพื่อซื้อเครื่องมือใหม่ ๆ และเน้นการเข้าถึงลูกค้าแบบ Omnichannel สร้างการรับรู้แบรนด์และ Engagement กับลูกค้า ทั้งไทยและต่างชาติ โดยเฉพาะ จีน และประเทศเพื่อนบ้าน ที่เป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง

“เรามีสัดส่วนลูกค้าคนไทยประมาณ 90% ต่างชาติ 10% ซึ่งลูกค้าจีนและ CLMV จะชอบมาที่ไทยมากกว่าไปประเทศอื่น ๆ เช่น การดูแลผิวประเทศไทยจะเน้นใช้เทคโนโลยีจากอเมริกากับยุโรป ส่วนเกาหลีจะเน้นจับตลาดบนมาก ราคาต่างจากไทยเท่าตัว”

ปัจจุบัน เดอะคลีนิกค์มีสาขารวมทั้งหมดกว่า 60 สาขา ทั่วประเทศ แบ่งเป็น 5 แบรนด์ ได้แก่

  • THE KLINIQUE: จับกลุ่มลูกค้า Gen X หรือกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูงในระดับ Luxury และ Hi-End
  • L.A.B.X: จับลูกค้ากลุ่มพรีเมืยม
  • L’Clinic: จับกลุ่มลูกค้าอายุน้อยในระดับพรีเมียม แมส
  • THE KLINIQUE SURGERY CENTER: ให้บริการด้านศัลยกรรมเฉพาะทาง 
  • KLINIQ Wellness Spa: ให้บริการด้านเวลเนส ซึ่งถือเป็น Mega Trend สำคัญตอบโจทย์กลุ่มสังคมผู้สูงอายุ ที่ต้องการมีชีวิตยืนยาว อย่างมีสุขภาพดี

เรามีฐานลูกค้ารวมกว่า 2-3 แสนราย และ 70% เป็นลูกค้าเก่า สะท้อนให้เห็นว่าเขามั่นใจกับแบรนด์ของเรา ซึ่งเราเชื่อว่าเรายังมีโอกาสขึ้นเป็นเบอร์ 1 ในตลาด ด้วยส่วนแบ่งตลาด 5% ภายใน 5 ปี”  นายแพทย์อภิรุจ ทิ้งท้าย