นางสาวขัตติยา อินทรวิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ภาวะเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 1 ปี 2567 ยังคงเผชิญข้อจำกัดในการฟื้ นตัว เพราะแม้จะมีแรงหนุนจากการฟื้ นตัวของภาคการท่องเที่ ยวและการส่งออกสินค้า แต่การผลิตภาคอุตสาหกรรมยั งคงหดตัวลงอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับผลผลิตสินค้ าเกษตรที่ลดลงจากผลกระทบของปั ญหาภัยแล้ง ขณะที่การใช้จ่ ายภายในประเทศขยายตัวแต่ในอั ตราที่ชะลอลงทั้งในส่วนของภาครั ฐและเอกชน สำหรับแนวโน้มในช่วงที่เหลื อของปี 2567 มองว่า เศรษฐกิจไทยอาจประคองเส้ นทางการฟื้นตัวได้ดีขึ้น หากภาคการท่องเที่ยวยังคงขยายตั ว และมีแรงหนุนเพิ่มเติมจากการกลั บมาเร่งเบิกจ่ายงบประมาณ และมาตรการอื่นๆ ของภาครัฐ
ท่ามกลางความท้าทายของปัจจัยต่ าง ๆ ในปีนี้ธนาคารกสิกรไทยได้วางยุ ทธศาสตร์ 3+1 โดยการเพิ่มประสิทธิภาพการเติ บโตด้านสินเชื่ออย่างมีคุ ณภาพภายใต้การบริหารความเสี่ ยงที่เหมาะสม การขยายธุรกิจรายได้ค่าธรรมเนี ยม การเสริมสร้างความแข็งแกร่ งของช่องทางการให้บริการ การแสวงหารายได้ใหม่ ในระยะกลางและระยะยาว รวมถึงการบริหารจัดการทรั พยากรอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อส่งมอบคุณค่าที่ยั่งยืนให้ แก่ผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย ทั้งลูกค้า ผู้ถือหุ้น พนักงาน หน่วยงานกำกับดูแล และสังคม ภายใต้บริบทของเศรษฐกิจที่มี ความไม่แน่นอน
ในไตรมาส 1 ปี 2567 ธนาคารและบริษัทย่อยมี กำไรจากการดำเนินงานก่อนหั กผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่ าจะเกิดขึ้นและภาษีเงินได้จำนวน 29,439 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.93% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกั นของปีก่อน หลัก ๆ จากการเติบโตของรายได้ จากการดำเนินงานสุทธิ การบริหารจัดการค่าใช้จ่ายอย่ างคุ้มค่า และการเพิ่มประสิทธิ ภาพในการดำเนินงาน ในไตรมาสนี้ธนาคารพิจารณาตั้ งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่ คาดว่าจะเกิดขึ้น (Expected credit loss : ECL) จำนวน 11,684 ล้านบาท โดยธนาคารยังคงยึดหลักความระมั ดระวังอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สำรองฯ อยู่ในระดับที่เหมาะสมเพียงพอ สะท้อนสถานการณ์ในปัจจุบัน และรองรับความไม่แน่นอนของปัจจั ยต่าง ๆ ที่อาจจะส่งผลต่อแนวโน้มการฟื้ นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ ส่งผลให้กำไรสุทธิในไตรมาสนี้มี จำนวน 13,486 ล้านบาท
รายได้ดอกเบี้ยสุทธิมีจำนวน 38,528 ล้านบาท โดยมีอัตราผลตอบแทนสินทรัพย์ที่ ก่อให้เกิดรายได้สุทธิ (Net interest margin : NIM) อยู่ที่ระดับ 3.76% เป็นไปตามภาวะตลาด นอกจากนี้ รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุ ทธิมีจำนวน 8,299 ล้านบาท หลัก ๆ จากการเติบโตของค่าธรรมเนียมรั บจากการจัดการกองทุน ค่าธรรมเนียมรับจากการรับรองตั๋ ว อาวัล และค้ำประกัน และค่าธรรมเนียมรับจากธุรกิจบั ตร รวมรายได้จากการดำเนินงานสุทธิ มีจำนวน 50,152 ล้านบาท เติบโต 7.68% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกั นของปีก่อน สำหรับค่าใช้จ่ายจากการดำเนิ นงานมีจำนวน 20,713 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.65% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน หลัก ๆ เป็นการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ ายจากการดำเนินงานต่าง ๆ ที่สอดคล้องกับรายได้ที่เพิ่มขึ้ น ส่งผลให้อัตราส่วนค่าใช้จ่ ายจากการดำเนินงานอื่น ๆ ต่อรายได้จากการดำเนินงานสุทธิ (Cost to income ratio) อยู่ที่ระดับ 41.30% ลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกั นของปีก่อนซึ่งอยู่ที่ระดับ 42.50%
สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 2567 เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส 4 ปี 2566 ธนาคารและบริษัทย่อยมี กำไรจากการดำเนินงานก่อนหั กผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่ าจะเกิดขึ้นและภาษีเงินได้จำนวน 29,439 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.57% โดยหลัก ๆ เกิดจากค่าใช้จ่ายจากการดำเนิ นงานที่ลดลง ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นค่าใช้จ่ ายทางการตลาดที่เป็นปกติตามฤดู กาล รวมทั้ง ธนาคารและบริษัทย่อยได้บริหารจั ดการค่าใช้จ่ายอย่างต่อเนื่อง แม้รายได้จากการดำเนินงานสุทธิ ลดลงเล็กน้อยจากกำไรจากการลงทุ นในตราสารทางการเงินต่าง ๆ ที่ลดลงตามภาวะตลาด นอกจากนี้ มีการตั้งสำรองผลขาดทุนด้ านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น จำนวน 11,684 ล้านบาท ซึ่งยังคงสอดคล้องกับหลั กความระมัดระวังอย่างต่อเนื่อง
ณ วันที่ 31 มีนาคม 2567 ธนาคารและบริษัทย่อยมีสิ นทรัพย์รวมจำนวน 4,318,809 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2566 จำนวน 35,253 ล้านบาท หรือ 0.82% ส่วนใหญ่เพิ่มขึ้นจากเงินลงทุ นในตราสารทางการเงินเพิ่ มตามการคาดการณ์ทิศทางอั ตราดอกเบี้ย อย่างไรก็ตาม เงินให้สินเชื่อสุทธิ ลดลงตามภาวะตลาด ทั้งนี้ เงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพต่ อเงินให้สินเชื่อ (%NPL gross) อยู่ที่ระดับ 3.19% และค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิ ตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อเงินให้ สินเชื่อด้อยคุณภาพ (Coverage ratio) อยู่ที่ระดับ 150.35% สำหรับอัตราส่วนเงินกองทุนทั้ งสิ้นต่อสินทรัพย์เสี่ยงของกลุ่ มธุรกิจทางการเงินธนาคารกสิ กรไทยตามหลักเกณฑ์ Basel III ณ วันที่ 31 มีนาคม 2567 ยังคงมีความแข็งแกร่งอยู่ ที่ 19.37%