ปฏิเสธไม่ได้ว่าบริษัทยักษ์ใหญ่ไอทีของโลกตอนนี้กำลังแข่งขันกันเรื่อง เอไอ (AI) ไม่ว่าจะเป็น OpenAI ที่เปิดตัวโมเดล GPT-4 Omni หรือ Google ที่อัปเกรด Gemini 1.5 Pro และบริษัทที่ได้ผลประโยชน์จากเทรนด์นี้สุด ๆ ก็คือ NVIDIA ผู้ผลิตชิป GPU รายหลักของโลก
โดยผลประกอบการของ เอ็นวิเดีย (NVIDIA) ประจำไตรมาสที่ 1 ตามปีงบประมาณ 2025 (สิ้นสุดเดือนเมษายน) มีรายได้อยู่ที่ 26,044 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น +18% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า และโตขึ้น +262% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันในปีที่ผ่านมา ขณะที่กำไรสุทธิอยู่ที่ 14,881 ล้านดอลลาร์ โตขึ้น 7 เท่า
โดยรายได้กว่า 80% ของบริษัทมาจากกลุ่มธุรกิจ Data Center โดยคิดเป็นรายได้กว่า 22,563 ล้านดอลลาร์ โดยเติบโตถึง +427% ซึ่ง Jensen Huang ซีอีโอและผู้ก่อตั้ง NVIDIA กล่าวว่า การเติบโตของรายได้บริษัทได้รับแรงผลักดันจากบริษัทและประเทศต่าง ๆ ที่ร่วมมือกับผู้ผลิตชิปเพื่อเปลี่ยนจาก Data Center แบบเดิมไปเป็น AI Factories ซึ่งจะช่วยเพิ่มผลผลิตในอุตสาหกรรมส่วนใหญ่
โดยในไตรมาสที่ 1 ที่ผ่านมา บริษัททำงานร่วมกับลูกค้ามากกว่า 100 รายในการสร้าง AI Factories ซึ่งมีตั้งแต่ขนาดหลายร้อยไปจนถึงหมื่น GPU โดยบางส่วนมีถึง 100,000 GPU โดยปัจจุบัน ลูกค้ารายสำคัญของ Nvidia ล้วนแต่เป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ไอทีของโลกทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น Amazon Web Service, Microsoft Azure, Google Cloud และ Oracle ซึ่งรวมแล้วคิดเป็นสัดส่วนกว่า 40% ของรายได้ ในส่วนธุรกิจ Data Center
“ธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดและสำคัญที่สุดของบริษัทคือ การขาย Data Center ซึ่งรวมถึงชิปเอไอและชิ้นส่วนเพิ่มเติมที่จำเป็นในการใช้งานเซิร์ฟเวอร์เอไอขนาดใหญ่ อาทิ โปรเซสเซอร์กราฟิก Hopper และ H100 GPU ซึ่งไฮไลต์สำคัญในไตรมาสนี้คือการประกาศ Lama 3 ของ Meta ซึ่งเป็นโมเดลภาษาขนาดใหญ่ล่าสุดซึ่งใช้ GPU H100 จำนวน 24,000 ตัว”
ทั้งนี้ Jensen Huang เชื่อว่าบริษัทจะสามารถเติบโตขึ้นได้อีก เนื่องจากบริษัทมีแผนจะเปิดตัว Blackwell ชิป AI GPU รุ่นต่อไปของบริษัทภายในไตรมาส 4 และจะเพิ่มชิปนี้ใน Data Center ของบริษัทด้วย นอกจากนี้ บรรดาบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ยังส่งสัญญาณว่าพวกเขาจะใช้จ่ายมากขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้ากับชิปและ Data Center ซึ่งจำเป็นสำหรับฝึกและใช้งานระบบเอไอของพวกเขา
จากผลประกอบการที่ดีเกินคาด ทำให้มูลค่าหุ้น Nvidia แตะระดับ 1,000 ดอลลาร์เป็นครั้งแรก ส่งผลให้ปัจจุบัน บริษัทมีมูลค่าตลาดสูงสุดเป็น อันดับสาม ในตลาด Wall Street ตามหลังเพียง Microsoft และ Apple