TKN สยายปีกสร้างการเติบโตในต่างประเทศ ประกาศเปิดตัว Distributor ในอินโดนีเซีย เร่งเครื่องขยายพอร์ตผลิตภัณฑ์สาหร่าย รุกขึ้นแท่นสู่ Global Brand ในอนาคต

บมจ.เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง หรือ TKN สยายปีกสร้างการเติบโตในต่างประเทศ เปิดตัว PT Sukanda Djaya เป็น Distributor ในอินโดนีเซีย เพื่อขยายตลาดผลิตภัณฑ์สาหร่ายเถ้าแก่น้อย ผ่านช่องทางจำหน่ายทั้ง Traditional Trade (TT) และ Modern Trade (MT) พร้อมเร่งเครื่องขยายพอร์ตผลิตภัณฑ์สาหร่าย หนุนเป้ายอดขายรวมปีนี้เติบโต 15% ผ่านช่องทางการเติบโตจากทั้งในประเทศและต่างประเทศ รุกขึ้นแท่นสู่ Global Brand ในอนาคต
นายอิทธิพัทธ์ พีระเดชาพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ TKN ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสาหร่ายทะเลแปรรูปทั้งในและต่างประเทศภายใต้ตราสินค้า “เถ้าแก่น้อย” รวมถึงขนมขบเคี้ยว และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ เปิดเผยว่า ปี 2567 คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มขยายตัวใกล้เคียงปีก่อน อย่างไรก็ตามคาดว่าภาพรวมตลาดขนมขบเคี้ยวจะมีอัตราเติบโตไม่ต่ำกว่า 7.9% ขณะที่ TKN สร้างการเติบโตในปี 2566 ได้ถึง 22% สูงกว่าการเติบโตของตลาดขนมขบเคี้ยว โดยมีปัจจัยสำคัญมาจาก 1.) ดีมานด์สาหร่ายที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มประเทศหลัก จีน, อินโดนีเซีย และมาเลเซีย โดย เถ้าแก่น้อย เข้าไปทำกิจกรรมการตลาดให้สอดรับกับการบริโภคของตลาดที่เกิดขึ้น 2.) การขยายช่องทางตลาดที่สำคัญอย่างสหรัฐอเมริกา โดยสามารถเจาะเข้าสู่ช่องทาง Modern Trade (MT) เป็นหลัก เช่น ห้าง Costco และห้าง Wholefood และ 3.) กระแสการบริโภคสาหร่ายตามเทรนด์เพิ่มขึ้น แม้ปัจจุบันคู่แข่งในตลาดจะเพิ่มขึ้น แต่ด้วยผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายและรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ “เถ้าแก่น้อย” จึงเป็นตัวเลือกอันดับแรก ของกลุ่มผู้บริโภค ส่งผลให้ยอดขายในตลาดต่างประเทศ โดย ณ ไตรมาส 1/67 เติบโต 13.5% และคิดเป็นสัดส่วนรายได้กว่า 65% ของยอดขายรวมเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง
บริษัทฯ เดินหน้ากลยุทธ์ “3GO” อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลยุทธ์ “GO Broad” คือการขยายธุรกิจให้กว้างขึ้น โดยไม่ได้จำกัดการผลิตและจำหน่ายสินค้าในรูปแบบเดียว แต่จะพัฒนาสินค้ากลุ่มใหม่ๆ เพื่อขยายพอร์ตสินค้า พร้อมมุ่งเน้นบริหารจัดการยอดขาย (Revenue Management) ด้วยการบริหารสินค้าและช่องทางการขายที่มีกำไรดี (Product Mix and Channel Mix) ให้มีประสิทธิภาพ เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการเติบโตอย่างน้อย 15% ผ่านช่องทางทั้งในประเทศและต่างประเทศที่มีศักยภาพ ทั้งนี้ บริษัทฯ ตั้งเป้าขยายตลาดใน 5 ตลาดหลัก ได้แก่ ตลาดในประเทศ ตลาดสหรัฐอเมริกา ตลาดอินโดนีเซีย ตลาดมาเลเซีย และตลาดจีน
ทั้งนี้ บริษัทฯ มองเห็นโอกาสขยายตลาดในอินโดนีเซีย จึงได้ร่วมมือกับ PT Sukanda Djaya เพื่อเป็นตัวแทนจำหน่าย (Distributor Partner) สินค้าของบริษัทฯ ในประเทศอินโดนีเซียอย่างเป็นทางการ เพื่อขยายผลิตภัณฑ์สาหร่ายเถ้าแก่น้อย ผ่านช่องทางจำหน่ายหลากหลายกลุ่ม ทั้งช่องทาง Modern Trade (MT), ช่องทาง Traditional Trade (TT) และ Horeca รวมถึงช่องทาง E-commerce ซึ่งเป็นส่วนที่พันธมิตรมีความเชี่ยวชาญ และมองว่ามีศักยภาพในการเติบโตอีกมาก ทั้งนี้ เพื่อเข้าถึงผู้บริโภคในวงกว้างมากขึ้น โดยปัจจุบัน บริษัทฯ มีสัดส่วนยอดขายจากอินโดนีเซีย 15% จากยอดขายตลาดต่างประเทศ และคาดว่ายอดขายในอินโดนีเซียจะเติบโตเพิ่มขึ้นมากกว่า 30% พร้อมเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดผลิตภัณฑ์สาหร่าย เพื่อยกระดับแบรนด์ “เถ้าแก่น้อย” สู่ Global Brand ในอนาคต
นายวชิระ ญาณทัศนกิจ ประธานเจ้าหน้าที่กลุ่มงานการค้าต่างประเทศ บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ TKN กล่าวว่า อินโดนีเซียเป็นตลาดมุสลิมที่นิยมการบริโภคสาหร่ายเพิ่มมากขึ้นในช่วงที่ผ่านมาและมีศักยภาพการเติบโตสูง ในการปรับเปลี่ยนตัวแทนจัดจำหน่ายรายใหม่เมื่อปลายปี 2566 เพื่อมุ่งเน้นการขยายช่องทางการขายที่กว้างขึ้น พร้อมเดินหน้าตอกย้ำการทำตลาดในกลุ่มผู้บริโภคชาวมุสลิมให้มากขึ้น โดยเน้นการสื่อสารผ่าน Key Opinion Leader (KOLs) หรือ Influencer ที่เป็นชาวมุสลิม เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับกลุ่มผู้บริโภค รวมถึงจัดกิจกรรมทางการตลาดอย่างต่อเนื่อง อาทิ กิจกรรม Food Truck จัดบูทชงชิม แจกสินค้าตัวอย่าง เป็นต้น ล่าสุด ในช่วงเทศกาลสำคัญอย่างเช่น รอมฎอน (ถือศีลอด) ได้ร่วมกับพันธมิตรออกบูธในงาน Jakarta Lebaran Fair ที่กรุงจาการ์ตา ซึ่งได้ผลตอบรับที่ดีจากผู้บริโภค
“การสร้างแบรนด์ไทยให้เติบโตและมีชื่อเสียงในระดับโลก ต้องเริ่มจากการสร้างรากฐานของแบรนด์ให้แข็งแกร่ง เถ้าแก่น้อย จึงได้รุกสร้างการเติบโตในตลาดต่างประเทศอย่างเต็มกำลัง โดยในแต่ละประเทศมีทิศทางและการทำงานที่ต้องปรับให้เข้ากับพฤติกรรมการบริโภค วัฒนธรรมและไลฟ์สไตล์ ความเป็นอยู่ของผู้บริโภคในประเทศนั้นๆ ซึ่งการร่วมมือกับ PT Sukanda Djaya ในครั้งนี้ ช่วยสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันจากพันธมิตรที่แข็งแกร่งและการกระจายสินค้าในทุกช่องทางจัดจำหน่ายของเถ้าแก่น้อยทั่วประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งปัจจุบัน เถ้าแก่น้อยมีสินค้าอยู่บนชั้นวางสินค้าครอบคลุม Modern Trade ในอินโดนีเซียกว่า 80% และยังสามารถเติบโตได้อีกมาก โดยเฉพาะช่องทาง Traditional Trade และ E-Commerce  นอกจากนั้น เราได้มีการขยายตลาดสินค้ากลุ่มสาหร่ายอบ ที่จับกลุ่มผู้บริโภคที่รับประทานเป็นอาหารหรือทานคู่กับอาหาร นับเป็นฐานผู้บริโภคกลุ่มใหม่ นอกเหนือจากกลุ่มตลาดขนมขบเขี้ยว” นายวชิระ กล่าว
Mr. Philip Min Lih Chen President Director บริษัท PT Sukanda Djaya กล่าวว่า บริษัทฯ มีประสบการณ์ในการดำเนินธุรกิจมากกว่า 45 ปี ในการเป็นตัวแทนจำหน่ายและกระจายสินค้าอาหารแช่งแข็ง แช่เย็น ขนมขบเคี้ยว เครื่องดื่ม เครื่องปรุงรส และสินค้าบริโภคอื่นๆ โดยนำเข้าโดยตรงจากผู้ผลิตในประเทศต่างๆ ในทวีปยุโรป อเมริกา และเอเชีย ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและเป็นที่ยอมรับในวงกว้าง เพื่อกระจายสินค้าและทำการตลาดทั้งในช่องทาง Retail และ Food Service โดยเริ่มจากการกระจายสินค้าที่ผลิตจากบริษัทแม่ ได้แก่ ไอศกรีม นม น้ำผลไม้ต่างๆ และสินค้าประเภทอื่นๆ ในกลุ่มเดียวกัน และมีระบบการขนส่งรวมทั้งศูนย์กระจายสินค้าของตัวเองมากกว่า 20 แห่งตามเมืองต่างๆ เพื่อกระจายสินค้าไปยังช่องทางต่างๆทั่วประเทศอินโดนีเซี
สำหรับความร่วมมือระหว่าง TKN และ PT Sukanda Djaya เป็นการประกาศความพร้อมรุกตลาดขนมขบเคี้ยวของเถ้าแก่น้อยในอินโดนีเซียทุกมิติ โดยผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์เถ้าแก่น้อยมีพอร์ทโฟลิโอหลากหลายรูปแบบ ทั้ง อบ ทอด ย่าง เทมปุระ โดยทุกผลิตภัณฑ์จะถูกพัฒนามาจากการศึกษาพฤติกรรมของผู้บริโภคแบบลึกซึ้ง เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคทุกเซ็กเม้นท์ให้ได้สูงที่สุด เน้นการนำเสนอจุดเด่นและคุณสมบัติที่แตกต่างกัน พร้อมผสานคุณประโยชน์และฟังก์ชันรสชาติต่างๆ เพื่อเป็นจุดเด่นของแบรนด์ยิ่งขึ้น ประกอบกับด้วยความแข็งแกร่งของ PT Sukanda Djaya จะยิ่งช่วยเสริมแกร่งในการนำสินค้ามาบุกตลาด เพื่อสร้างประโยชน์ให้ทั้ง 2 ฝ่าย
“เราเล็งเห็นถึงศักยภาพของแบรนด์เถ้าแก่น้อยที่มีการเติบโตสูง และยังเป็นผู้นำของตลาดสาหร่ายในประเทศอินโดนีเซียประกอบกับผู้บริโภคหันมาใส่ใจเรื่องสุขภาพ จึงเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคส่วนใหญ่เลือกรับประทาน ซึ่งการได้เป็น Distributor ของ TKN เราพร้อมช่วยขยายช่องทางจัดจำหน่ายให้ครอบคลุมทั่วประเทศ” Mr. Philip Min Lih Chen กล่าว