เอสพี กรุ๊ป (เอสพี) จัดแสดงเทคโนโลยีสีเขียวในงาน ThaiFex-Anuga Asia (Thaifex) งานแสดงสินค้าอาหารและเครื่องดื่มชั้นนำแห่งเอเชียประจำปี ซึ่งจัดขึ้นตั้งแต่วันที่ 28 พฤษภาคม ถึง 1 มิถุนายน 2567 ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี กรุงเทพฯ โดยนับเป็นครั้งแรกที่บริษัทโซลูชันพลังงานยั่งยืนได้เข้าร่วมงานจัดแสดงอาหารและเครื่องดื่มที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคที่มีบรรดาแบรนด์ชั้นนำระดับโลกจัดแสดงนวัตกรรมล่าสุดที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรม
อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มในประเทศไทยกำลังเติบโตขึ้นอย่างมาก1 ถือเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ใช้พลังงานมากที่สุดในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทย โดยภาคอุตสาหกรรมคิดเป็นประมาณร้อยละ 37 ของการใช้พลังงานทั้งหมดของประเทศ2 ด้วยโซลูชันพลังงานสีเขียวที่ครบวงจรของเอสพี สามารถช่วยสนับสนุนอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มในการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ช่วยประหยัดต้นทุนด้านพลังงาน และบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืน
โซลูชันพลังงานคาร์บอนต่ำอัจฉริยะของเอสพี ที่นำมาจัดแสดงภายในงาน ThaiFex ได้แก่
- ระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ (PV) เพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของลูกค้า โซลูชันดังกล่าวประกอบไปด้วยระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา พื้นดิน หรือแบบทุ่นลอยน้ำ และระบบกักเก็บพลังงาน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ให้ครอบคลุมมากที่สุด เพื่อนำไปสู่การใช้พลังงานอย่างยั่งยืนและประหยัดต้นทุน
- บริการระบบทำความเย็น (Cooling-as-a-Service) ที่นำเสนอเทคโนโลยีระบบทำความเย็นที่ออกแบบตามการใช้งานได้อย่างเหมาะสมและยั่งยืน ที่จะช่วยให้แต่ละอาคาร โรงงาน หรือกลุ่มอาคารขนาดเล็กสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินการทำความเย็นได้อย่างเหมาะสม โดยบริการระบบทำความเย็นจะช่วยเสริมประสิทธิภาพของระบบ นำไปสู่การประหยัดพลังงานและความน่าเชื่อถือที่เพิ่มมากขึ้น
- การจัดการพลังงานแบบดิจิทัลอัจฉริยะ หรือ Green Energy Tech (GET™) นวัตกรรมโซลูชันการจัดการพลังงานที่รวมพลังของ AI เข้ากับ IoT เพื่อให้สามารถจัดการการใช้พลังงานในอาคารได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมช่วยให้ธุรกิจต่างๆ เพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ยกระดับความเป็นอยู่ที่ดีให้กับผู้พักอาศัย และบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืน
- ระบบทำความเย็นแบบรวมศูนย์ (District Cooling System) เป็นศูนย์กลางการผลิตน้ำเย็นสำหรับเครื่องปรับอากาศ ช่วยให้เจ้าของอาคารสามารถประหยัดพลังงานและลดต้นทุนตลอดอายุการใช้งาน พร้อมช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
บูธของเอสพี กรุ๊ป ภายในงาน ThaiFex 2024 ตั้งอยู่ในโซน Fine Food ฮอลล์ 12 บูธ 50 (VV50) โดยนอกเหนือจากการจั
นายชญาศักดิ์ อิทธิศิริ กรรมการผู้จัดการ (ประเทศไทย) เอสพี กรุ๊ป กล่าวว่า “การมีส่วนร่วมของเราที่งาน ThaiFex 2024 ตอกย้ำความมุ่งมั่นของเราในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนในภาคการผลิตของประเทศไทย การเปลี่ยนแปลงไปสู่พลังงานสีเขียวของอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มจะช่วยให้ประเทศลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนและก๊าซเรือนกระจกได้อย่างมาก พร้อมช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานและประหยัดต้นทุนด้านพลังงานให้กับบริษัท โดยประโยชน์เหล่านี้จะช่วยให้ธุรกิจต่างๆ สามารถบริหารความเสี่ยงด้านความยั่งยืน (ESG Risk) และยังคงสามารถแข่งขันได้ในตลาดที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา นอกจากนี้ความร่วมมือของเรากับบริษัทไทยชั้นนำอย่าง มาลี นับเป็นตัวอย่างที่สะท้อนถึงความสามารถและความมุ่งมั่นของ เอสพี กรุ๊ป ในการนำโซลูชันพลังงานที่ยั่งยืนและปรับขนาดได้มาปรับใช้ในอุตสาหกรรม โดยใช้ประโยชน์จากความเชี่ยวชาญและทรัพยากรระดับภูมิภาคของเรา เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายด้านประสิทธิภาพและความยั่งยืนที่ต้องการ”
เอสพีได้ติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาให้กับโรงงานของมาลีที่จังหวัดนครปฐมในปี 2567 การติดตั้งดังกล่าวสามารถผลิตพลังงานสะอาดได้ประมาณ 1,378 เมกะวัตต์-ชั่วโมงต่อปี ครอบคลุมความต้องการการใช้พลังงานของโรงงานได้ประมาณร้อยละ 15 และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนได้มากถึง 700 ตันต่อปี
สำหรับการดำเนินงานของเอสพีในประเทศไทยจนถึงปัจจุบัน มีโครงการด้านพลังงานแสงอาทิตย์ ที่อยู่ในขั้นตอนการดำเนินการและการก่อสร้างร่วมกับพันธมิตรหลัก อาทิ บริษัทเอเชีย คอมโพสิต แมททีเรียล (Asia Composite Material) มาลี กรุ๊ป และบริษัทสยามอุตสาหกรรมเกษตรอาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ SAICO โดยการร่วมมือกับบริษัทในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เหล่านี้ สามารถช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนได้มากกว่า 28,000 ตันต่อปี
นอกจากนี้ เอสพี ยังมีโครงการพลังงานแสงอาทิตย์อื่น ๆ ที่อยู่ภายใต้การควบคุมมากกว่า 100MWp ทั่วประเทศไทย และโครงการระบบทำความเย็นแบบศูนย์รวมแห่งแรกในประเทศไทย ซึ่งติดตั้งอยู่ที่ศูนย์ราชการฯ โซนซี ด้วยความร่วมมือกับบริษัท บ้านปู เน็กซ์ (Banpu NEXT) รวมทั้งได้มีการลงนามความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยรังสิตเพื่อนำโซลูชันพลังงานแบบบูรณาการที่ยั่งยืนของเอสพีมาปรับใช้ให้ครอบคลุมทั้งมหาวิทยาลัย
[1] จากข้อมูลของ Statista คาดว่าตลาดอาหารจะมีรายรับสูงถึง 71.79 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2567 โดยมีอัตราการเติบโตต่อปีประมาณร้อยละ 5.04 ตั้งแต่ปี 2567 จนถึง 2571 ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น ตลาดเครื่องดื่มคาดว่าจะมีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นถึง 2.12 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมีอัตราการเติบโตต่อปีที่คาดการณ์ไว้ที่ประมาณร้อยละ 3.26
2 จากการศึกษาของ Assawamartbunlue และ Luknongbu ภาคอุตสาหกรรมใช้พลังงานประมาณร้อยละ 37 ของพลังงานทั้งหมดในประเทศไทย โดยอาหารและเครื่องดื่ม และยาสูบ เป็นภาคส่วนที่ใช้พลังงานมากที่สุด โดยคิดเป็นร้อยละ 35.7 ของการใช้พลังงานในอุตสาหกรรมทั้งหมด