หลักทรัพย์บัวหลวง เผย 5 เดือนแรกปี 67 ต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยกว่า 8.9 หมื่นล้านบาท เพราะการผ่านงบประมาณรัฐปี 67 ล่าช้ากว่าปกติ และการส่งออกโตน้อยกว่าคาด แม้กำไรบจ.ไตรมาสแรกปี 67 จะโต 1.7% ชี้หุ้นไทยครึ่งหลังปี 67 ยังไม่สดใส เหตุนักลงทุนขาดความมั่นใจ หลังเศรษฐกิจไทยอาจตกหลุม โดยไตรมาสแรกปีนี้โตเพียง 1.5% ต่ำคาด มองเป้าหมายดัชนีสิ้นปี 67 ระดับ 1,539 จุด แนะจัดพอร์ตลงทุนไปในสินทรัพย์ หลากหลายประเภท พร้อมเพิ่มสัดส่วนลงทุนในหุ้นต่ างประเทศเพื่อกระจายความเสี่ยงท่ามกลางความผันผวน
นายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ กรรมการผู้จัดการ สายงานค้าหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในช่วง 5 เดือนแรกปี 67 ที่ผ่านมา นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้ นไทยกว่า 8.9 หมื่นล้านบาท, ค่าเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐอ่ อนค่าลง 5.47% จากต้นปี, ดัชนีตลาดหุ้นไทยลดลง 6.2% ท่ามกลางนักลงทุนรอมาตรการกระตุ้ นเศรษฐกิจเพิ่มเติมจากรัฐ ขณะที่กำไรสุทธิบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ไตรมาส 1 ปี 67 อยู่ที่ระดับ 2.6 แสนล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.7% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกั นของปีก่อน (ทีมวิจัยหลักทรัพย์ฯ coverage กำไรบจ. โต 5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน) หนุนโดยกำไรที่โดดเด่นของกลุ่ มอาหาร, ท่องเที่ยว, โรงพยาบาล, ขนส่ง,
พัสดุหีบห่อ และมีเดีย ขณะที่กลุ่มพัฒนาอสังหาฯ ก่อสร้าง และชิ้นส่วนยานยนต์ มีกำไรลดลง สรุป คือ ตัวเลขกำไร บจ. ในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา ไม่ได้ออกมาเซอร์ไพรส์ ตลาดมากพอที่จะเห็นอั พเกรดกำไรบจ. ขึ้นเมื่อเทียบกับกำไรบจ. ของประเทศในกลุ่มอาเซียนที่เติ บโตได้สูงกว่าไทย ทำให้เม็ดเงินนักลงทุนต่ างประเทศที่จะไหลเข้าสู่ตลาดหุ้ นไทยอาจต้องรอต่อไป
พัสดุหีบห่อ และมีเดีย ขณะที่กลุ่มพัฒนาอสังหาฯ ก่อสร้าง และชิ้นส่วนยานยนต์ มีกำไรลดลง สรุป คือ ตัวเลขกำไร บจ. ในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา ไม่ได้ออกมาเซอร์ไพรส์
สำหรับมุมมองตลาดหุ้นไทยช่วงครึ่ งหลังปี 67 ทีมวิจัยหลักทรัพย์บัวหลวงคาดการณ์ว่าอาจไม่สดใสมากนักหลังนักลงทุนขาดความมั่ นใจในการลงทุน จากหลากหลายปัจจัยความเสี่ยง เช่น สถานการณ์เศรษฐกิจไทยในครึ่งหลั งปี 67 ที่ยังคงดูฟื้นตัวได้ช้า ประกอบกับการผลักดันมาตรการใหม่ จากรัฐยังคงเลื่อนออกไป และมีโอกาสจะตกหลุมอากาศ ยิ่งในช่วงไตรมาส 3 ที่เป็นโลว์ซีซั่นหน้าฝนจะเป็ นช่วงที่กำไรบจ. เข้าสู่รอบจุดต่ำสุด
แม้ในช่วงไตรมาสแรกของปี 67 ตัวเลข GDP จะเติบโต 1.5% จากภาคการท่องเที่ยวและส่งออกที่
รวมถึงมาตรการคุมเข้ม Short sell เพิ่มเติมของตลาดหลักทรัพย์ฯ อาจยังไม่ได้ประกาศใช้ในเร็ว ๆ นี้
ในส่วนมุมมองสถานการณ์เศรษฐกิ จโลก เริ่มเข้าสู่เส้นทาง Cool Down อีกครั้งจากนโยบายการเงินที่ตึ งตัว ขณะที่ราคาน้ำมันดิบที่ปรับตั วลดลงแม้กลุ่มผู้ผลิตน้ำมัน (OPEC) จะขยายเวลาลดอัตราการผลิตน้ำมั นออกไปได้ สะท้อนภาพการบริโภคน้ำมั นรวมของโลกที่ยังไม่สดใสอาจส่ งผลกระทบต่อกำไรรวมของตลาดหุ้นไทยเพราะตลาดหุ้ นไทยมีหุ้นกลุ่มเกี่ยวข้องกับน้ำ มัน, ปิโตรเคมี, พลังงาน สัดส่วนสูงถึง 25% รวมถึงเศรษฐกิจสหรัฐฯ เริ่มเห็นสัญญาณชะลอตัวลงในด้ านการบริโภคในประเทศผ่านการใช้ บัตรเครดิตและยอดการผิดนัดชำระหนี้บัตร ส่วนเรื่องอัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ
มองว่าได้ผ่านจุดพีคมาแล้ว และยังคงอยู่ในทิศทางขาลง คาดว่าจะเห็นการปรับลดดอกเบี้ ยครั้งแรกในการประชุมเดือนก.ย. นี้ และตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะเข้าสู่การปรับฐานรอบใหม่ก่ อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรั ฐฯ ในเดือนพ.ย.
มองว่าได้ผ่านจุดพีคมาแล้ว และยังคงอยู่ในทิศทางขาลง คาดว่าจะเห็นการปรับลดดอกเบี้
สำหรับกรณีที่รัฐมนตรีว่ าการกระทรวงการคลังมีแนวคิ ดจะผลักดันกองทุน LTF กลับมาอีกครั้ง เรายังไม่ได้คาดหวังว่าวงเงิ นเพื่อการหักภาษีจะสูงมากนัก เนื่องจากภาครัฐจำเป็นต้องใช้ เม็ดเงินอัดเข้าไปกับโครงการดิ จิทัลวอลเล็ตเป็นหลัก ฉะนั้นโครงการผลักดันกองทุน LTF จะสามารถเห็นผลได้เร็วสุดในช่ วงปลายปี แต่ผลกระทบด้านตัวเลขเม็ดเงิน เข้าตลาดหุ้นไทย ประเมินว่า คงไม่ได้มากเท่าเดิม คาดว่าจะอยู่ราว 1-1.5 หมื่นล้านบาท เมื่อเทียบกับในอดีตที่อยู่ ประมาณ 2-3 หมื่นล้านบาททุกปี เทียบกับเม็ดเงิน LTF เดิมที่คงค้างในระบบและรอไถ่ ถอนได้ประมาณ 2.4 แสนล้านบาท
“เรายังคงเป้าหมายดัชนี SET สิ้นปี 67 ระดับ 1,539 จุด ปัจจุบันยังมีอัพไซด์ประมาณ 15% โดยได้ปรับลดคาดการณ์ดัชนี ลงจากเดือนธ.ค. 66 ที่มองไว้ระดับ 1,620 จุด อ้างอิงจากคาดการณ์กำไรบจ. ปี 67 โต 15% จากปีก่อน ส่วนค่า P/E ตลาดหุ้นไทยปัจจุบันอยู่ระดับ 14.3 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวที่อยู่ 15.3 เท่า แต่เมื่อเทียบกับตลาดเพื่อนบ้าน เช่น เวียดนาม ที่มีค่า P/E ระดับ 15 เท่า แต่กำไรบจ. โต 25% มากกว่าไทย 2 เท่า ส่วนจีนและฮ่องกงกำไรคาดการณ์ โตใกล้เคียงกับไทย แต่ค่า P/E ตลาดหุ้นฮ่องกงยังต่ำกว่า 10 เท่า และค่า P/E ตลาดหุ้นจีนอยู่ที่ 11.3 เท่า ทำให้หุ้นไทยอาจไม่ได้ดึงดูดนั กลงทุนต่างชาติได้มากนัก และอาจมีโอกาสที่ดัชนีหุ้นไทยยั งอยู่ภายใต้แรงกดดันจากการดาวน์ เกรดค่า P/E ลงมา หลังกำไรไม่ได้โดดเด่นอย่างที่ คาด จนกว่าตัวเลขกำไรจะเติบโตอย่ างสมเหตุสมผลและมีตัวเร่ง ก็จะขับเคลื่อนตลาดขึ้นใหม่” นายชัยพร กล่าว
นายชัยพร กล่าวทิ้งท้ายว่า ท่ามกลางสถานการณ์ที่ไม่สดใสนัก แนะนำลงทุนในหุ้นกลุ่มปิโตรเคมี ที่อาจมีเซอร์ไพร์ส ด้านบวกจากปีก่อนที่ ตัวเลขขาดทุน หลังเริ่มเห็นการฟื้นตั วของกำไรและส่วนต่างกำไรในช่ วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา, กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ หนุนด้วยออเดอร์ที่อาจเริ่มเข้ ามาในช่วงไตรมาส 3, กลุ่มไฟแนนซ์ที่มีความเข้ มงวดและระมัดระวังการปล่อยสิ นเชื่อมากขึ้น หลังตัวเลขหนี้ภาคครัวเรือนยั งคงสูงและยังต้องรอมาตรการกระตุ้ นการจับจ่าย ส่วนกลุ่มอาหาร, การบริโภค และการท่องเที่ยว น่าจะยังคงดีต่อเนื่อง สำหรับกลุ่มที่แนะนำหลีกเลี่ยง คือ กลุ่มที่เกี่ยวกับพัฒนาอสังหาฯ เพื่ออาศัย และวัสดุก่อสร้าง
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในช่วงที่ เหลือของปีนี้ แนะจัดพอร์ตแบบเน้นกระจายน้ำหนั กการลงทุนไปในสินทรัพย์หลากหลายประเภทเพื่อลดความเสี่ยงการลงทุน โดยผู้ที่รับความเสี่ยงได้ให้ แบ่งน้ำหนักการลงทุนไปในหุ้นต่างประเทศ เช่น สหรัฐฯ อินเดีย และเวียดนาม ที่มีแนวโน้มกำไรเติบโตดี แต่หากมองในแง่ Valuation ตลาดหุ้นจีนและฮ่องกง ก็ยังน่าสนใจ หลังรัฐบาลอัดฉีดเงินผ่ านมาตรการต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง และกำไรเริ่มฟื้นตัว โดยนักลงทุนสามารถลงทุนต่ างประเทศได้ง่าย ๆ ผ่าน DR01 ส่วนผู้ลงทุนที่รับความเสี่ ยงได้ไม่มากให้พักเงินในหุ้นกู้ เอกชนเรตติ้งดี แต่หากต้องการเพิ่มอั ตราผลตอบแทนของพอร์ตแนะให้ ผสมตราสารหุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝงเข้ามาด้วยก็ได้ โดยควรปรึกษากับผู้แนะนำการลงทุ นก่อนลงทุน
“ผู้ที่ไม่มีเวลาและต้ องการออมระยะยาว แนะกระจายการลงทุนไปในสินทรัพย์ ต่าง ๆ ผ่านการจัดพอร์ตกองทุนรวมแบบ อั ตโนมัติ หรือ BLS Top Funds Portfolio Auto Asset Allocation เครื่องมือช่วยสร้างผลตอบแทนอย่างยั่งยืนที่ออกแบบมาเพื่ อแก้ปัญหา Pain Point การลงทุนแบบดั้งเดิม โดยสามารถสร้ างผลตอบแทนจากการลงทุนให้กับผู้ ลงทุนได้สูงสุดถึง 7.33% (ผลตอบแทนนับตั้งแต่ต้นปี 67 – 31 พ.ค. 67)” นายชัยพร กล่าว