งานวิจัยชิ้นใหม่ของเอคเซนเชอร์ (Accenture) พบว่า Generative AI มีศักยภาพผลักดันมูลค่
การวิจัยครั้งนี้ ได้รวบรวมข้อมูลจากการวิเคราะห์
ข้อค้นพบสำคัญจากงานวิจัยชิ้นนี้
- 33% ของชั่วโมงทำงานในเอเชียแปซิฟิก จะเปลี่ยนเป็นระบบอัตโนมัติหรื
อให้ Generative AI ช่วยทำงานเพื่อยกระดับประสิทธิ ภาพ จึงส่งผลกระทบต่อชั่วโมงทำงาน ซึ่งบุคลากรในออสเตรเลียและญี่ ปุ่นจะได้รับผลกระทบมากที่สุด ประมาณ 45% และ 44% ตามลำดับ ตามมาด้วยจีน (33%) และอินเดีย (31%) - 96% ของผู้บริหารในเอเชียแปซิฟิก ตระหนักดีว่า Gen AI จะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่ง 91% ของคนทำงานในภูมิภาคนี้ ระบุว่า มีความพร้อมเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ เพื่อทำงานร่วมกับ Gen AI อย่างไรก็ดี มีเพียง 4% ของผู้บริหารเท่านั้น ที่ได้เริ่มฝึกทักษะพนั
กงานในการทำงานร่วมกับ Gen AI อย่างเต็มพิกัด อีกผลสำรวจที่ออกมาคล้ายกันคือ 89% ของธุรกิจในเอเชียแปซิฟิกที่มี แผนเพิ่มการลงทุนในเทคโนโลยี Gen AI ในปีนี้ แต่ก็มีเพียง 35% ของธุรกิจเท่านั้นที่ให้ ความสำคัญกับการลงทุนพั ฒนาโครงสร้างกำลังคน - อุตสาหกรรมที่ได้รั
บผลกระทบมากที่สุด ได้แก่ ตลาดทุน เพราะ Gen AI จะส่งผลให้ชั่วโมงทำงานเปลี่ ยนไปเกือบสามในสี่ (71%) ส่วนอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ และแพลตฟอร์ม จะได้รับผลกระทบสองในสาม (66%) จากการที่ระบบทำงานได้โดยอั ตโนมัติหรือให้เครื่องช่วยทำงาน อุตสาหกรรมที่ได้รั บผลกระทบรองลงมาคือ ธนาคาร (64%) ประกัน (62%) และค้าปลีก (49%)
Generative AI เป็นตัวเร่งให้ธุรกิจต้องปรับตั
“การนำ Generative AI ไปใช้ในวงกว้าง สามารถปรับโฉมระบบการทำงานต่างๆ ในอุตสาหกรรมได้เกือบหมด กุญแจสำคัญที่จะปลดล็อกไปสู่มู
เอคเซนเชอร์จึงแนะนำให้ธุรกิ
- มีบทบาทนำและเรียนรู้แนวทางใหม่
ๆ: การจะนำองค์กรสู่อนาคตด้วย Gen AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยได้รับความเชื่อมั่นและไว้ใจ ผู้บริหารจะต้องมีส่วนร่วมและมี บทบาทการเป็นผู้นำที่ต่ างไปจากเดิม ท้าทายมุมมองเดิมๆ เพื่อเรียนรู้สิ่งใหม่ ที่สำคัญคือ ผู้นำจะต้องซึมซับกับเทคโนโลยี และทำให้การเรียนรู้กลายเป็นส่ วนหนึ่งของกระบวนการทำงาน - ปรับโฉมวิธีการทำงาน: เมื่อผู้บริหารคิดใหม่ทำใหม่กั
บกระบวนการทำงานทั้งระบบ จะเห็นภาพชัดเจนขึ้นว่า Gen AI จะเข้าไปมีบทบาทสำคัญที่สุดได้ ที่ตรงไหนถึงจะสอดคล้องกับเป้ าหมายธุรกิจ ยกระดับประสิทธิภาพและผลักดั นนวัตกรรมให้เกิดขึ้นทั่วทั้ งองค์กร ปรับการทำงานที่เป็นแบบเดี ยวเหมือนกันหมด ให้เป็นแนวทางใหม่ที่มี ความหมายและยั่งยืนมากกว่าเดิม เมื่อทำจุดนี้สำเร็จได้ ผู้บริหารจะสามารถปรับโฟกั สและปรับการทำงาน ให้บริการลูกค้าได้ดีขึ้น สนับสนุนบุคลากรมากขึ้น และนำองค์กรให้สำเร็จได้ตามเป้า - ปรับทัพกำลังคน: การเปลี่ยนวิธีการทำงานก็ต้องมี
บุคลากรที่มีพลังและยืดหยุ่นสู งด้วย องค์กรจึงต้องให้ความสำคัญกั บการปรับทัพทาเลนต์ผู้มี ความสามารถอย่างต่อเนื่อง ยิ่งใช้เทคโนโลยีมากขึ้น องค์กรก็ต้องใช้ประโยชน์จากเครื่ องมือและเทคโนโลยีให้เต็มประสิ ทธิภาพ เช่น การจัดทักษะให้เข้ากับงาน (skill mapping) ที่จะช่วยให้การเปลี่ยนผ่านเป็ นไปด้วยความราบรื่น จากหน้าที่งานที่มีบทบาทน้อย ไปสู่หน้าที่ที่มีความสำคั ญมากขึ้น ซึ่งเมื่อปรับเปลี่ยนงานและหน้ าที่แล้ว ประสิทธิภาพโดยรวมจะเพิ่มขึ้น องค์กรจะมีเวลาและมีทาเลนต์มาจั ดการงานที่ให้มูลค่าสูงขึ้นได้ - เตรียมความพร้อมให้บุคลากร: เมื่อองค์กรลงทุนช่วยให้บุ
คลากรเพิ่มพูนทักษะที่จำเป็ นสำหรับสภาพตลาดในปัจจุบัน และมีความสามารถในการใช้ เทคโนโลยีทำงาน ก็ยังจำเป็นต้องให้ความสำคัญกั บซอฟต์สกิลด้วย นอกจากนี้องค์กรอาจปรับใช้ แนวทางการ “สอนเพื่อเรียนรู้” (teach-to-learn) เพื่อให้บุคลากรสามารถสอนหรื อเทรนเครื่องมือทางเทคโนโลยีได้ แต่ระหว่างนั้น ผู้บริหารก็ต้องรับฟังและให้พนั กงานมีส่วนร่วมในทุกขั้นตอน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและไว้ ใจระหว่างกัน
ส่องโมเดลการวิเคราะห์
การประเมินผลกระทบของ Gen AI ที่มีต่อชั่
- แบ่งงานออกเป็นหน้าที่ย่อยๆ และจัดประเภทตามความเป็นไปได้ที่
จะเปลี่ยนเป็นระบบอัตโนมัติ และให้เครื่องช่วยทำงานมากขึ้น (โดยใช้แมชชีนเลิร์นนิ่ งและการตรวจสอบของมนุษย์ร่วมด้ วย) - ศึกษางานวิจัยทางเศรษฐกิจต่างๆ ในการประเมินชั่วโมงที่ประหยั
ดได้ หากใช้ Gen AI เท่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน - สำรวจแนวโน้มการเปลี่ยนผ่
านของงานต่างๆ (โดยอิงจากแนวโน้มในอดีต และความคล้ายคลึงกันในด้านองค์ ประกอบของทักษะ) - สร้างสถานการณ์จำลองต่างๆ ที่องค์กรสามารถนำ Gen AI มาใช้ โดยพิจารณาจาก 3 ปัจจัย ได้แก่ นวัตกรรมที่โฟกัส ความเร็วในการนำมาใช้ และระดับความจำเป็นในการปรั
บลดบุคลากร - จัดทำโมเดลประมาณการการเติ
บโตของ GDP (2023-2038) สำหรับแต่ละพื้นที่ และแต่ละสถานการณ์สมมติ (ที่เอคเซนเชอร์ใช้เปรียบเที ยบกับประมาณการการเติบโตของ GDP ระดับ baseline)