บริษัท เคซีจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ KCG ผู้นำด้านผลิตภัณฑ์อาหารตะวันตกเพื่อโมเดิร์นไลฟ์สไตล์ สัญชาติไทย ร่วมกับ 5 พันธมิตร ได้แก่ บริษัท มิไร เอ็มอีพี เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด, บริษัท เคอร์รี่ แอนด์ บราวน์ (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัท มาร์ช ยูทิลิตี้ จำกัด, บริษัท ไคเนติก จำกัด และ บริษัท เชง ฮัว (ประเทศไทย) จำกัด ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือขยายกำลังไลน์ผลิตเนยและมาการีนของ บริษัท เคซีจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) โดยมีมูลค่าโครงการกว่า 217 ล้านบาท เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2567 ณ งาน THAIFEX-ANUGA ASIA 2024
โดยมี นายดำรงชัย วิภาวัฒนกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เคซีจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เป็นประธานพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) พร้อมคณะผู้บริหารจากทาง KCG นายธวัช ธีระนุสรณ์กิจ รองกรรมการผู้อำนวยการอาวุโส, นายดำรงกิจ วิภาวัฒนกุล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิศวกรรม และ นายมนสรร ธีระนุสรณ์กิจ รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานบริหารห่วงโซ่อุปทาน ร่วมลงนามกับ 5 พันธมิตร นายตัน เหว่ย ฮง (อเล็กซ์) ผู้จัดการ ฝ่ายขายและดำเนินงาน บริษัท เชง ฮัว (ประเทศไทย) จำกัด, นายบุญทรัพย์ ตัณฑุลาวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท มิไร เอ็มอีพี เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด, นาย ณัฐพรรษ ประหัษฎางกูร กรรมการบริษัท บริษัท เคอร์รี่ แอนด์ บราวน์ (ประเทศไทย) จำกัด, นาย ดำรงค์ วิศิษฐวาณิชย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท มาร์ช ยูทิลิตี้ จำกัด และ นาย ภูวดล ขวัญเย็น กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไคเนติก จำกัด เป็นผู้ลงนาม
นายดำรงชัย วิภาวัฒนกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เคซีจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า จากผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2567 บริษัทฯ มียอดขายรวม 1,785.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.5% และมีกำไรสุทธิ 71.6 ล้านบาท เติบโต 22.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนม (Dairy Products) มียอดขาย 1,085.7 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 60.8% ทำให้เห็นชัดว่าความต้องการของผู้บริโภคต่อผลิตภัณฑ์ Dairy Products สูงขึ้น และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นไปอย่างต่อเนื่อง KCG จึงต้องการปรับปรุง และขยายไลน์การผลิตเนยและมาการีน เพื่อยกระดับศักยภาพการผลิต พร้อมกับนำนวัตกรรมใหม่เข้ามาเสริมประสิทธิภาพการผลิตอย่างยั่งยืน เพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างเพียงพอ
ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้อำนวยการ KCG กล่าวต่อไปว่า ปัจจุบันกำลังการผลิตเนยของ KCG สามารถผลิตได้ 18,000 ตันต่อปี ซึ่งการดำเนินการโครงการในครั้งนี้ KCG ต้องการตั้งเป้าขยายผลผลิตให้เป็น 23,000 ตันต่อปี (สูงสุด 23,261 ตันต่อปี) ภายในปี 2568 โดยทุ่มมูลค่าโครงการกว่า 217 ล้านบาท ซึ่งมีระยะเวลาดำเนินโครงการ 22 เดือน เริ่มต้น ม.ค. 67 และแบ่งเป็น 5 ระยะ
ระยะที่ 1 : ปรับปรุงพื้นที่สายการผลิตเนยปัจจุบัน 1,284 ตารางเมตร โดยรวมพื้นที่สายการผลิตเดิมของ Processed Cheese จำนวน 1,080 ตารางเมตร และติดตั้งเครื่องจักรเพิ่ม และระบบสายพานลำเลียงใหม่ ทำให้มีพื้นไลน์ผลิตเนยที่รวมแล้วเสร็จ 2,364 ตารางเมตร
ระยะที่ 2 – 5 : เพิ่มเครื่องจักรในการบรรจุแบบอัตโนมัติ และการจัดการสายการผลิต ให้สอดคล้องกับพื้นที่ส่วนขยาย อาทิ ระบบลำเลียง (Conveyor) การจัดเรียงพาเลตอัตโนมัติ (Robotic Palletizer) สามารถรองรับการผลิตสินค้าเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่เพิ่มขึ้นได้ถึงปี 2574
“เพื่อบรรลุเป้าหมายสร้างอาณาจักรอาหารตะวันตก เนยและชีส ให้เติบโตมั่นคงและยั่งยืน KCG จะยังคงพัฒนาแผน การลงทุนเพื่อขยายกำลังการผลิต และนำเทคโนโลยีระบบอัตโนมัติมาใช้เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตให้ดียิ่งขึ้น เพื่อให้สอดรับกับหนึ่งในเจ็ดกลยุทธ์องค์กร เรื่อง Production & Automation เพื่อยกระดับกำลังการผลิตที่ทันสมัยและครบวงจรไปอย่างต่อเนื่อง โดยให้ความสำคัญกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมใหม่ทั้งในกลุ่มเนยและชีส ที่สามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคยุคใหม่ อาทิ อาหารทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพ ตามเป้าหมายที่จะสร้างองค์กรสู่การเติบโตที่มั่นคง ยั่งยืน และพร้อมสู่อนาคตที่กำลังเปลี่ยนแปลง” นายดำรงชัยกล่าวปิดท้าย