ตั้งแต่เกิดการระบาดของ COVID-19 ทั่วโลกก็รู้จักกับการทำงานแบบ Work from home พอสถานการณ์คลี่คลายก็เกิดเป็นเทรนด์การทำงานแบบ ไฮบริด และอีกเทรนด์ก็คือ Workcation หรือทำงานและพักผ่อนไปด้วย
ต้องขอบคุณขอบคุณเทคโนโลยีคลาวด์ที่สามารถทำให้เราสามารถทำงานได้จากทุกที่ทั่วโลก ขอเพียงแค่มีอินเทอร์เน็ตดี ๆ ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่ผู้คนจํานวนมากขึ้นเรื่อย ๆ ที่ทำงานแบบไฮบริด หรือสามารถหยุดงานได้นานขึ้น เพราะสามารถทำงานจากที่ไหนก็ได้
โดยจากการสำรวจโดย International Workplace Group (IWG) พบว่า 84% ของคนงานไฮบริดได้ขยายเวลาหรือจะพิจารณา ขยายเวลาพักร้อนเพื่อทํางานจากระยะไกล ในขณะที่ 75% รู้สึกว่า เสรีภาพในการทํางานจากทุกที่ ช่วยเพิ่มความพึงพอใจในงาน ของพวกเขา
ตามรายงานที่เผยแพร่โดยสถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจสแตนฟอร์ด พบว่า นับตั้งแต่ระหว่างปี 2019 – 2023 จํานวนคนที่ ทํางานจากที่บ้าน ทั่วโลกเพิ่มขึ้นถึง 5 เท่า และเมื่อเจาะไปยัง สหรัฐอเมริกา พบว่า พนักงานถึง 40% ทำงานทางไกลอย่างน้อย 1 วัน/สัปดาห์ จะเห็นว่าเทรนด์การทำงานแบบไฮบริดเป็นเรื่องปกติไปแล้ว
ด้วยเหตุนี้ International Workplace Group ได้สำรวจพนักงานกว่า 1,000 คนทั่วโลก ที่ทำงานแบบไฮบริดเพื่อจัดอันดับ 10 เมืองทั่วโลก ที่เหมาะกับการ Workcation หรือสถานที่ที่เหมาะกับการทำงานและเที่ยวพักผ่อนไปด้วยได้ โดยวัดจาก 10 ปัจจัย ได้แก่ สภาพภูมิอากาศ, วัฒนธรรม, ที่พัก, การเดินทาง, อาหาร, ค่าอยู่ (ค่ากาแฟ), ความสุข, ความเร็วอินเทอร์เน็ต, ความยั่งยืน และความพร้อมของพื้นที่ทํางาน โดย 10 เมืองที่เหมาะแก่การ Workcation ที่สุด ได้แก่
- บูดาเปสต์
- บาร์เซโลนา
- รีโอเดจาเนโร
- ปักกิ่ง
- ลิสบอน
- นิวยอร์ก
- สิงคโปร์
- จาการ์ตา
- แอลเอ
- มิลาน
บูดาเปสต์ เมืองหลวงของฮังการีติดอันดับสูงสุดในปีนี้ โดยได้รับคะแนนสูงในหมวดหมู่ที่พัก (9.5/10) การเดินทาง (9.5/10) ความยั่งยืน (8.5/10) และความเร็วอินเทอร์เน็ต (8/10) โดยบูดาเปสต์ขึ้นชื่อเรื่องในสถาปัตยกรรมคลาสสิก ที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติประมาณ 12 ล้านคนต่อปี และมีพิพิธภัณฑ์และหอศิลป์มากกว่า 200 แห่ง เมืองที่มีชีวิตชีวา และพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่
ส่วน บาร์เซโลนา ที่ 2 ของลิสต์ เพราะมีวีซ่า digital nomad โครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งที่เชื่อถือได้ (9/10) และค่าครองชีพที่ไม่แพง (ค่าที่พัก 8.5/10) นอกจากนี้ ยังเป็นเมืองที่มีบรรยากาศมีชีวิตชีวา สถาปัตยกรรมที่สวยงาม และอากาศที่อบอุ่นเกือบตลอดทั้งปี (8.5/10) และที่พัก (8.5/10)
ด้านเอเชียโดดเด่นในรายการในปีนี้เช่นกัน โดย สิงคโปร์ ไต่ขึ้นมาถึง 14 อันดับ โดยทําคะแนนได้ดีเป็นพิเศษในหมวดหมู่คุณภาพอินเทอร์เน็ต (10/10) และความยั่งยืน (9/10) นอกจากนี้ สิงคโปร์ยังได้รับการเสนอชื่อให้เป็นประเทศที่มีความสุขที่สุดในเอเชียเป็นปีที่สองติดต่อกัน อีกทั้งสนามบินที่ดีติดอันดับโลก ทำให้สิงคโปร์เป็นประตูสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้