ไทยนิปปอนรับเบอร์ หนึ่งในผู้ผลิตถุงยางอนามัยสัญชาติไทย ได้ต่อสัญญา PLBY Group ในการผลิต และจัดจำหน่ายถุงยางอนามัยแบรนด์ PLAYBOY หลังเคยดีลกันเมื่อ 3-4 ปีก่อน แต่มีเรื่องเข้าใจผิดจนต้องล้มเลิกสัญญา ครั้งนี้ลงนามสัญญายาว 30 ปี หวังตีตลาดถุงยางอนามัยระดับพรีเมียม
บริษัท ไทยนิปปอนรับเบอร์อินดัสตรี้ จำกัด (มหาชน) หรือ TNR ยักษ์ใหญ่แห่งวงการถุงยางอนามัยของไทย มีประสบการณ์กว่า 31 ปี มีแบรนด์ ONETOUCH เป็นหัวหอกหลัก และรับผลิต OEM ซึ่งปัจจุบันมีกำลังการผลิตสูงสุด 2,000 ล้านชิ้นต่อปี และส่งออกไปขายกว่า 100 ประเทศทั่วโลก
ก่อนหน้านี้ทั้ง 2 บริษัทเคยเป็นพาร์ทเนอร์ร่วมกันในการตกลงเป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายถุงยางอนามัย PLAYBOY แต่แล้วเมื่อปี 2564 TNR ได้ยื่นฟ้องร้อง บริษัท เพลย์บอย เอ็นเทอร์ไพร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด และบริษัท โปร ดักส์ ไลเซนซิ่ง จำกัด หรือรวมเรียกว่า “เพลย์บอย” ต่อศาลแขวงสหรัฐฯ ประจำเขตแคลิฟอร์เนีย เรียกร้องค่าเสียหายมูลค่ากว่า 100 ล้านเหรียญสหรัฐ ฐานใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และกระทำผิดต่อกฎหมายประเทศสหรัฐอเมริกา
แต่เมื่อเดือนมิถุนายน 2567 ทาง TNR ได้ถอนฟ้องเพลย์บอย ทั้ง 2 บริษัทได้ไกล่เกลี่ยกันลงตัว มาพร้อมด้วยการต่อสัญญาสิทธิ์ใหม่อีก 30 ปี
ภายใต้ความร่วมมือนี้ TNR จะเป็นผู้ได้รับไลเซนส์ PLAYBOY ในการผลิต และจัดจำหน่ายถุงยางอนามัยทั้งในไทย และต่างประเทศ โดยที่ทาง PLAYBOY จะช่วยในเรื่องการตลาด เพราะมีเครือข่ายสื่อ และสินค้าไลฟ์สไตล์ทั่วโลก
เมื่อเอาคาแรคเตอร์ของทั้ง 2 บริษัท PLAYBOY มีความเท่ มีรสนิยม ความเซ็กซี่ มีจุดแข็งที่มีตำนานแบรนด์กว่า 71 ปี ส่วน TNR มีความปลอดภัย และความสนุก ซึ่งทาง TNR มีจุดแข็งที่ผลิตถุงยางอนามัยจากน้ำยางธรรมชาติ พร้อมเครือข่ายจัดจำหน่ายทั่วโลก
อมร ดารารัตนโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TNR PLC เริ่มเล่าว่า
“จุดแข็งของบริษัท TNR ก่อตั้งมายาวนานกว่า 31 ปี มีความเชี่ยวชาญในการผลิตถุงยางอนามัยจากน้ำยางธรรมชาติที่มีคุณภาพสูง พร้อมกับมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง จนทำให้บริษัทมีกำลังการผลิตสูงสุด 2,000 ล้านชิ้นต่อปี และส่งออกไปขายกว่า 100 ประเทศทั่วโลก”
PLAYBOY จะเข้ามาตีตลาดถุงยางอนามัยระดับพรีเมียม กลุ่มเป้าหมายเป็นคนรุ่นใหม่ไม่ได้มองถุงยางอนามัยเป็นเพียงอุปกรณ์การคุมกำเนิด และป้องกันโรค แต่ผู้บริโภคยังให้ความสำคัญกับการมองหาประสบการณ์ใหม่ ๆ จากการเลือกใช้งานถุงยางอนามัยที่แสดงออกถึงไลฟ์สไตล์ และตัวตนของผู้ใช้
ซึ่งถุงยาง PLAYBOY เตรียมตีตลาดใหญ่ๆ อย่างเช่น สหรัฐอเมริกา จีน รวมถึงตลาดใหม่อย่าง อินเดีย เวียดนาม แอฟริกา และประเทศอื่นๆ ในอนาคต ที่ประชาชนมีฐานรายได้เพิ่มมากขึ้น และในอนาคตยังมีแผนที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์อื่นๆ เช่น เจลหล่อลื่นที่มีส่วนผสมของน้ำมันกัญชา (CBD) และการพัฒนาผลิตถุงยางอนามัยให้บางขึ้น
สำหรับตลาดถุงยางอนามัยระดับโลกมีมูลค่ากว่า 200,000 ล้านบาท เติบโต 5-7% ประเทศจีนมีการใช้ถุงยางอนามัยมากที่สุดในโลก คิดเป็นมูลค่า 80,000 ล้านบาท หรือปริมาณ 7,000 ล้านชิ้น/ปี รองลงมา ได้แก่ ประเทศสหรัฐอเมริกา, อินเดีย, อินโดนีเซีย และญี่ปุ่น
ส่วนประเทศไทยตลาดถุงยางอนามัยมีมูลค่า 1,500 ล้านบาท เติบโต 5% โดยที่กลุ่มพรีเมียมมีมูลค่าราว 1,000 ล้านบาท คนไทยมีอัตราการใช้ถุงยางฯ ไม่ถึง 200 ล้านชิ้น/ปี
TNR ตั้งเป้ารายได้ของถุงยาง PLAYBOY ที่ 2,000 ล้านบาท พร้อมตั้งเป้าขยายการผลิตจาก 2,000 ล้านชิ้น/ปี เป็น 3,000 ล้านชิ้น/ปี คาดใช้งบลงทุน 500-800 ล้านบาท โดยที่ถุงยาง PLAYBOY จะมีสัดส่วน 30-40% ของกำลังการผลิตทั้งหมด