พูดคุยกับ “เซียนโอ๊ต บางแพ” ประธานชมรมพระเครื่องกลุ่มสันขวาน ภาคตะวันตก กับชีวิตที่ผันตัวมาเป็นเซียนพระ ชำแหละวงการเซียนพระที่ปัจจุบันกลายเป็นเรื่องพาณิชย์ มีแต่คนจ้องมาหาผลกำไรโดยไม่คำนึงถึงพุทธคุณ พร้อมปั้นแอปพลิเคชัน SK Check ให้ประชาชนทั่วไปส่งพระมาเช็กในแอปในราคาย่อมเยา ป้องกันการถูกหลอก
รอดตายจากพระเครื่อง เลยมาเป็นเซียนพระ
วงการพระเครื่องขึ้นชื่อว่าเป็นอีกวงการที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน เพราะประเทศไทยเป็นเมืองพุทธ มีพระเกจิอาจารย์ชื่อดัง พร้อมกับลูกศิษย์เลื่อมใสศรัทธามากมาย แต่เดิมวงการพระเครื่องอาจจะจำกัดอยู่แค่ในวงของคนที่ชื่นชอบจริงๆ หรือเรียกว่าเซียนพระ แต่ปัจจุบันเริ่มมีคนบางกลุ่มมองเห็นโอกาสในการทำธุรกิจ เข้ามาจับธุรกิจพระเครื่องมากขึ้น
Positioning มีโอกาสพูดคุยกับ อาทิตย์ นวลมีศรี เจ้าของตลาดนัดพระเครื่องภาคตะวันตก (ตลาดกอบกุล) หรือ “เซียนโอ๊ต บางแพ” หัวหอกกลุ่มสันขวานที่เกิดจากการรวมตัวของเหล่าเซียนพระภาคตะวันตก แต่เดิมเซียนโอ๊ตทำงานเหมือนคนปกติทั่วไป แต่เกิดเกิดอุบัติเหตุแล้วรอดตาย จึงเกิดความเชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ตนบูชา ประกอบกับลองปล่อยพระที่เคยสะสมแล้วได้กำไรจริงๆ จึงผันตัวมาเป็นเซียนพระอย่างเต็มตัว
“มาเป็นเซียนพระได้เพราะเกิดจากความชอบ จริงๆ ตอนเด็กๆ กลัวผี คนไทยถูกปลูกฝังเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์มานานอยู่เลยห้อยพระตั้งแต่เด็กๆ มีอยู่ช่วงหนึ่งตอนเรียน ม.รามคำแหง แล้วเคยโดนรถชนแต่ไม่เป็นอะไรเลย ตอนนั้นห้อยพระกิ่งวัดสุทัศน์ พอเรียนจบก็ทำธุรกิจขายอาหารทะเล ต้องขับรถกลางคืนอยู่ตลอด มีเหตุเกือบตายหลายหน แล้วบางทีขายไม่ดีก็พอขอพรจากพระก็ขายได้ เลยรู้ว่าพระเครื่องคุ้มครองเรามีอยู่จริง เลยเริ่มเก็บพระเครื่อง เริ่มดูจากตามหนังสือต่างๆ แต่จุดเปลี่ยนสำคัญคือ พอมีลูกเลยอยากเปลี่ยนอาชีพ เลยเอาพระที่สะสมมาปล่อยเช่า เคยซื้อมา 10 องค์ 1,500 บาท แต่ขายได้ 7 องค์ 75,000 บาท เลยมาคิดว่าความรู้ความสามารถจะไปทำเกี่ยวกับพระได้มั้ย เลยเปลี่ยนอาชีพมาเล่นพระจริงจัง”
ปัจจุบันเซียนโอ๊ตมีพระเครื่องไม่ต่ำกว่า 200,000 องค์ ประเมินมูลค่านับ 70 ล้านบาท แต่เป็นตัวเลขที่ประเมินเมื่อ 2 ปีก่อน ตอนนี้มีซื้อขายหมุนเวียนอย่างต่อเนื่อง
เซียนโอ๊ตบอกว่า การเป็นเซียนพระในตอนนี้ “เกินกว่าความชอบ แต่ชอบแล้วได้ด้วย”
อาร์ตทอยแห่งวงการพุทธคุณ ปั่นกระแส ปั่นกำไร
ปัจจุบันพระเครื่องไม่ได้เป็นเพียงวัตถุมงคล แต่กลายเป็นสินค้าที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจ โดยประเทศไทยถือเป็นตลาดพระเครื่องที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยรายงานข่าวจาก South China Morning Post ระบุว่าตลาดพระเครื่องของไทยมีเงินหมุนเวียนมากกว่า 45,000 ล้านบาทต่อปี และมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวจีนที่มีความเลื่อมใสในพุทธคุณและนิยมสะสมพระเครื่อง กลายเป็นซอฟต์พาวเวอร์ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยไปด้วย
ถ้าถามว่าพระเครื่องเป็นที่นิยมได้อย่างไร แล้วปัจจัยอะไรที่ทำให้วงการนี้ยืนหยัดได้จนถึงวันนี้ แต่วงการนี้มีการเปลี่ยนแปลงไปพอสมควร แต่เดิมพระเครื่องมาจากคนที่ศรัทธาใน “พุทธคุณ” จริงๆ แต่ปัจจุบันคนมองที่ “ผลประโยชน์” จากการเก็งกำไรเสียมากกว่า
“แต่ก่อนวงการพระเครื่องมาจากคนที่ศรัทธาในพุทธคุณของพระจริงๆ เชื่อว่าพุทธคุณจะคุ้มครอง ช่วยส่งเสริมต่างๆ แต่ปัจจุบันวงการพระเครื่องถูกทำลายโดยมิจฉาชีพ มองเห็นผลประโยชน์ แล้วนำมาเก็งกำไร ใช้ความไม่รู้ของผู้บริโภคเป็นจุดอ่อนในการทำพระใหม่มาขาย ซึ่งวงการนี้ไม่มีกฎหมายคุ้มครอง ขึ้นอยู่กับความเชื่อล้วนๆ”
เซียนโอ๊ตเสริมอีกว่า วงการพระเครื่องไม่มีเซ็กเมนต์เยอะ มีแค่พระเก่า กับพระใหม่เท่านั้น ซึ่งพระก่อนปี 2500 จะมีมูลค่ามากกว่า สถานการณ์ในปัจจุบันนี้คือ มีบางคนทำพระใหม่ บางครั้งใช้วิธีทำน้อยเพื่อสร้างสถานการณ์ให้หายาก แล้วเก็งกำไรแพงๆ หรือบางคนถึงกับทำเป็นกล่องสุ่ม ใส่เบอร์เหมือนหวยก็มี
“ต้องบอกว่าช่องโหว่ในวงการพระเยอะมาก ต้องทำให้คนดูพระเป็นให้ได้ เพื่อไม่ให้ถูกหลอก วงการนี้ขึ้นอยู่กับเซียนพระล้วนๆ จะมาขายก็ต้องให้เซียนพระที่ดูเป็น จะถูกจะแพงอยู่ที่เซียนพระ ถ้าจะเปรียบเป็นอาร์ตทอยก็ไม่ผิดเลย เพราะพระเครื่องก็คือของสะสมอย่างหนึ่ง แต่มีความเชื่อด้วย ตอนนี้อยากให้วงการกลับไปอนุรักษ์พระเครื่อง แต่ก่อนไม่เคยคิดว่ามีการตลาดให้วงการพระ แต่วงการมันผิดเพี้ยนเพราะคนไปทำการตลาด เน้นเรื่องทำกำไร”
ลงทุนทำแอป SK Check รับเช็กพระ
เนื่องจากปัญหาของวงการพระเครื่องในปัจจุบันที่ทำให้คนที่ไม่ได้ศรัทธาในพระเครื่องจริงๆ มาหาผลประโยชน์ ทั้งการปั่นกระแส ปั่นกำไร เซียนโอ๊ตจึงร่วมกับชมรมพระเครื่องสันขวานทำแอปพลิเคชัน SK Check ในการให้ผู้บริโภคส่งพระเข้ามาเช็กได้ ใช้งบลงทุน 3 ล้านบาท
“ตลาดพระเครื่องเม็ดเงินสูงมาก แต่ไม่มีมาตรฐานกลางว่าอันไหนจริง อันไหนปลอม อันไหนดี อันไหนไม่ดี ต้องพึ่งเซียนเป็นคนดูให้ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเซียน พอเห็นว่ามีคนที่หาผลประโยชน์จากพระ เอาเปรียบคนที่ดูพระไม่เป็นในการกดราคาบ้าง หลอกขายพระปลอมบ้าง เลยทำแอป ให้คนเข้ามาเช็กพระได้ ซึ่งพระก็เหมือนของแบรนด์เนม เอามาเปลี่ยนเป็นเงินสดได้”
เซียนโอ๊ต เล่าอีกว่า แอปนี้ใช้เวลาพัฒนา 2 ปี โดยผูกกับ LINE Official ที่เป็นแอปยอดนิยมของคนไทย มีค่าธรรมเนียมในการเช็กพระองค์ละ 100 บาท ที่อื่นเฉลี่ยอยู่ที่ 700 บาท มีเซียนพระผู้ชำนาญในการดูพระกว่า 20 คน ใช้เวลาดูพระราว 10 นาที จากนั้นจะมีบัตรดิจิทัลว่าพระแท้ หรือไม่แท้ เพื่อใช้ในการปล่อยขายได้ ซึ่งจะไปขายเองที่อื่น หรือจะปล่อยเซียนก็ได้ หรือจะลงในกลุ่มแลกเปลี่ยนซื้อขายพระเครื่องก็ได้
หลังจากเปิดให้ทดลองใช้พรี 3 เดือน ในเดือนแรกมีผู้ส่งเข้ามาเช็ก 46,000 องค์ มีอัตราดูผิดไม่ถึง 5 องค์ ปัจจุบันมีการส่งพระเข้ามาตรวจที่ 200,000 องค์ มีอัตราการดูผิดไม่ถึง 100 องค์ ปัจจุบันสามารถตรวจได้มากสุดที่ 30,000 องค์/เดือน
ลงทุนพระ ผลตอบแทนดี ไม่ต้องเสียภาษี
“ความสุขของคนเล่นพระ คือ แยกได้ รู้ว่าแท้ไม่แท้”
พระเครื่องกลายเป็นอีกหนึ่ง “การลงทุน” ของคนไทย ที่ให้ผลตอบแทน ผลกำไร ไม่ต่างจากการลงทุนหุ้น หรืออสังหาริมทรัพย์เลย เพราะได้ผลกำไรหลายเปอร์เซ็นต์ แถมข้อดีก็คือไม่ต้องเสียภาษี เพียงแต่จุดอ่อนก็คือ ยังไม่มีราคากลาง ไม่มีมาตรฐานที่ชัดเจน ขึ้นอยู่กับมูลค่าทางจิตใจล้วนๆ
“พระเครื่องจะไม่มีการกำหนดราคากลางที่แท้จริง ราคาของพระเครื่องจะเกิดจากการซื้อซ้ำ ถ้ามีคนซื้อเยอะนั่นจะเรียกว่าราคากลาง ขึ้นอยู่กับพระที่หมดไปแล้ว หรือหลวงพ่อที่มรณภาพไปแล้ว เหรียญเก่าต่างๆ ของที่คาดการณ์ว่าจะเพิ่มมูลค่า หรืออะไรที่สร้างเพิ่มไม่ได้จะมีมูลค่าเยอะ”
เซียนโอ๊ตยังปิดท้ายว่า สำหรับการลงทุนพระเครื่อง ยังเป็นวงการที่น่าลงทุนอยู่ เพราะพระเครื่องราคาขึ้นปีละหลักล้านเป็นเรื่องปกติมากๆ อีกทั้งยังไม่ต้องเสียภาษี แต่ก่อนคนเล่นพระไม่ค่อยอยากขาย เพราะอยากเก็บพระรอไปงานประกวดทีเดียว ตอนนี้มีการซื้อขายตลอด ผลตอบแทนหวังผลได้ 100% อย่างน้อยๆ ผลตอบแทนต้องมากกว่า 10% ขึ้นไป