Kintone (ประเทศไทย) บริษัทในเครือของ Cybozu ผู้ให้บริการกรุ๊ปแวร์สำหรับธุรกิจจากประเทศญี่ปุ่น ได้ทำการศึกษาตลาดดิจิทัลโซลูชันในประเทศไทยมากว่า 4 ปี และได้ค้นพบ Pain Point จึงสร้างโซลูชันพื้นที่การทำงานรูปแบบ DIY ที่ให้ผู้ใช้งานสามารถสร้างหรือปรับแต่งได้เองแบครบวงจร โดยไม่จำเป็นต้องมีความเชี่ยวชาญด้านไอที และไม่จำเป็นต้องเขียนโปรแกรม (no-coding) ให้ยุ่งยาก ช่วยตอบโจทย์การทำงานของผู้คนในส่วนต่าง ๆ ขององค์กรให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนโฉมออฟฟิศรูปแบบเดิม สู่องค์กรดิจิทัลแบบ Do-It-Yourself (DIY) ส่งเสริมองค์กรไทยให้สามารถนำเทคโนโลยีไปใช้เพื่อการเติบโต ลดระยะเวลาการทำงาน เพิ่มยอดขาย และสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันในระดับประเทศและระดับโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
Kintone ได้ออกแบบระบบการทำงานที่มุ่งเน้นในเรื่องความปลอดภัย (Security) ของข้อมูลลูกค้าเป็นหลัก พร้อมชูในเรื่องความยืดหยุ่น (Flexible) ของโซลูชันการทำงาน ที่มี Template ให้เลือกหลากหลาย สามารถตอบโจทย์การทำงานได้ทุกรูปแบบในองค์กร เช่น ฝ่ายบุคคล ฝ่ายขาย หรือฝ่ายจัดซื้อ และอื่น ๆ ทำหน้าที่เป็นระบบศูนย์กลาง มุ่งเน้นการแบ่งปันฐานข้อมูล ช่วยลดต้นทุนการดำเนินงาน ลดเวลาการทำงาน เพิ่มยอดขาย รวมถึงเสริมประสิทธิภาพให้องค์กรขนาดกลางและขนาดย่อม (SMBs) ของไทย
นายน้ำยา วายุภาพ กรรมการผู้จัดการ บริษัท Kintone (Thailand) เปิดเผยว่า “ตามข้อมูลของ Deloitte (ดีลอยท์) ประเทศไทย พบว่า องค์กรส่วนใหญ่เร่งที่จะปรับรูปแบบองค์กรสู่องค์กรดิจิทัล ในปี 2021 ซึ่งเป็นช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโควิด 19 ในระยะแรกๆ แต่ก็ยังมีบางองค์กรไม่ประสบความสำเร็จในการปรับปรุงประสิทธิภาพทางธุรกิจ เนื่องจากขาดประสบการณ์และการดําเนินการล่าช้า ต่อมาในปี 2022-2023 องค์กรต่างๆ เริ่มมีการปรับตัวเชิงกลยุทธ์และเลือกใช้แนวทางที่เหมาะกับองค์กรของตนมากขึ้น โดยอัตราความสําเร็จในการปรับตัวสู่องค์กรดิจิทัลก็ดีขึ้นเช่นกัน ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลจึงอยู่ในระดับปานกลางตลอดปี 2023 ที่สำคัญคือ ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่เศรษฐกิจ ทรงพลังมากที่สุดในภูมิภาคนี้ โดยประชากรกว่า 80% สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ และเป็นบริษัทธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMBs) มากกว่า 99% ซึ่งบริษัทธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ต่างให้ความสนใจในการลงทุนเปลี่ยนโฉมสู่ออฟฟิศดิจิทัลมากถึง 43% แต่ก็ยังคงมีอุปสรรคในการนำเทคโนโลยีจากต่างประเทศมาใช้”
SMBs ต้องระมัดระวังเรื่องต้นทุน แต่โซลูชันดิจิทัลยังช่วยได้
ขณะที่ตลาดเทคโนโลยีโลกมีโซลูชันการทำงานให้เลือกใช้มากมาย แต่เจ้าของธุรกิจชาวไทยจำนวนมากยังคงกังวลเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการดำเนินการและการบำรุงรักษาระบบใหม่ที่มีความซับซ้อน ส่งผลให้บริษัทธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMBs) ส่วนใหญ่ ไม่ได้มีการจ้างบุคลากรไอทีที่มีความสามารถในตลาด และมีความต้องการสูงในประเทศได้ อีกทั้ง เมื่อพิจารณาถึงการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ก็ยังมีความกังวลหลายประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องค่าใช้จ่ายเริ่มต้นในการนำโซลูชันซอฟต์แวร์มาใช้ ซึ่งอาจถูกออกแบบให้มีราคาย่อมเยาในช่วงเริ่มต้น แต่ค่าสมาชิกในระยะยาวอาจมีการปรับเพิ่มมากขึ้น ทำให้องค์กรต้องแบกรับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น ดังนั้น องค์กรควรประเมินค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้นอย่างรอบคอบ พร้อมทั้งพิจารณาถึงความคุ้มค่า และการประหยัดต้นทุนในระยะยาว รวมถึงสำรวจทางเลือกอื่นๆ ให้เหมาะสมกับองค์กรก่อนตัดสินใจเลือกซื้อโซลูชันซอฟต์แวร์
จากสถานการณ์ดังกล่าว Kintone ผู้สร้างดิจิทัลโซลูชันการทำงานแบบ DIY เป็นส่วนสำคัญที่จะเข้ามาเปลี่ยนโฉมวงการธุรกิจไทย สร้างระบบใหม่ให้สามารถใช้งานควบคู่กับระบบเดิม ผลักดันให้องค์กรในไทยสามารถทำ Digital Transformation ขับเคลื่อนองค์กรไปได้ไกลยิ่งขึ้น โดยตอบสนองได้ตามความต้องการของผู้ใช้งาน ผ่านการสร้างแอปพลิเคชันที่สามารถจัดการกระบวนการทำงานด้วยตนเองได้แบบครบวงจรแบบ all-in-one พร้อมออกแบบ Workflow ในองค์กรได้แบบไม่จำเป็นต้องเขียนโปรแกรม (no-coding) ให้ยุ่งยาก และเชื่อมต่อทุกระบบผ่าน Cloud Service ทำให้พนักงานที่อยู่ที่สำนักงาน บ้าน หรือที่ออกไปพบปะลูกค้า สามารถเข้าถึงระบบการทำงานได้อย่างง่ายดาย ขณะเดียวกัน Kintone ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของหลายฟังก์ชั่นธุรกิจในองค์กร เช่น ฝ่ายบุคคล, ฝ่ายขาย, ฝ่ายผลิต, ฝ่ายจัดซื้อ, ฝ่าย IT, ฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์, ฝ่ายวางแผนองค์กร และอื่นๆ ทำหน้าที่เป็นระบบศูนย์กลาง ช่วยลดต้นทุนในการดำเนินงาน ลดเวลาการทำงาน เพิ่มยอดขาย รวมถึงเสริมประสิทธิภาพให้องค์กร ไม่ว่าจะเป็นเอกสารกองโต ไฟล์งานที่กระจัดกระจาย การประสานงานที่ล่าช้าและซ้ำซ้อน ช่วยลดความเสี่ยงข้อมูลหาย โดย Kintone จะช่วยเพิ่มความสามารถในการตอบสนองความต้องการของลูกค้า และรับมือกับคู่แข่งได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ส่งเสริมให้ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมประสบความสำเร็จในเศรษฐกิจยุคใหม่
จุดเด่นของ Kintone คือ การนำ SaaS (Software as a Service) เข้ามาปรับใช้กับธุรกิจของ Kintone เป็นการให้บริการในด้านซอฟต์แวร์รูปแบบหนึ่ง ผ่านระบบ Cloud ทำให้เราสามารถเข้าถึงข้อมูลต่าง ๆ ได้ทุกที่ ทุกเวลา เพียงแค่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ก็สามารถเข้าใช้งานได้หลายซอฟต์แวร์ เช่น E-mail, Dropbox, Canva รวมถึงซอฟต์แวร์แบบดั้งเดิมที่ต้องใช้งานในรูปแบบออฟไลน์ ก็มีการพัฒนามาใช้ในรูปแบบ SaaS แทน เช่น Microsoft Office 365 ที่เปลี่ยนมาเป็น Google Docs, Google Sheets, Google Slides เป็นต้น เป็นการช่วยให้ธุรกิจสามารถปรับตัวเข้ากับโลกดิจิทัล และนำข้อมูลมาสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าได้อย่างต่อเนื่อง อีกทั้งซอฟต์แวร์ SaaS ก็มีความยืดหยุ่น เพราะสามารถเปลี่ยนแพ็คเกจการสมัครสมาชิกให้ขยายไปพร้อมกับธุรกิจที่กำลังเติบโตได้ ตามความต้องการ โดย ซอฟต์แวร์ SaaS ของ Kintone มีระบบรองรับการสำรองข้อมูล และการรักษาความปลอดภัยขั้นสูง ซึ่งบริการดังกล่าว ลูกค้าจ่ายค่าบริการเพียงแค่ค่าการสมัคร สำหรับผู้ล็อกอินเข้ามาใช้งาน เบื้องต้น 1 บริษัทที่ต้องการให้พนักงานเข้าใช้งาน 5 คน เฉลี่ยต่อเดือนจ่ายเพียงประมาณ 4,000 บาทเท่านั้น
ระบบ DIY ไม่ใช่การพึ่งพาตัวเองทั้งหมด
แม้โซลูชันการทำงานแบบ DIY ของ Kintone จะถูกออกแบบมาให้ผู้ใช้งานสามารถปรับแต่งระบบเองได้ 100% แต่ไม่ได้หมายความว่าความรับผิดชอบทั้งหมดจะอยู่ที่ผู้ใช้งาน 100% เนื่องจาก Kintone มีทีมงานซัพพอร์ตสำหรับผู้ใช้งานคนไทยด้วยภาษาไทย พร้อมให้การสนับสนุนที่ครอบคลุมทั้งการติดตั้ง การออกแบบรูปแบบการทำงาน รวมถึงการให้ความช่วยเหลือจากทีมให้ความรู้ด้านดิจิทัลตลอดเวลา ซึ่งทีมงานทุกคนมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับวัฒนธรรมไทยและพลวัตในองค์กร ทำให้มั่นใจได้ว่าจะให้คำแนะนำผู้ใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ช่วยให้เจ้าของธุรกิจและพนักงานมีความรู้ด้านดิจิทัลที่จำเป็น โดยใช้ประโยชน์จากศักยภาพทั้งหมดของเทคโนโลยี DIY
ทั้งหมดถือเป็นอีกหนึ่งแนวทางสำคัญ ในการเร่งการปฏิรูปองค์กรดิจิทัลในประเทศไทย ด้วยการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ กระบวนการทำงาน และการสร้างวัฒนธรรมองค์กร เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและพัฒนาธุรกิจให้เติบโตแบบก้าวกระโดด โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMBs) จำเป็นต้องมีโซลูชันที่คำนึงถึงราคา ที่สามารถเข้าถึงได้ และความสามารถในการแก้ไขปัญหา เพื่อลดช่องว่างทางด้านทักษะดิจิทัลของคนในองค์กร การนำโซลูชัน DIY มาใช้มากขึ้น ประเทศไทยจะสามารถสร้างสภาพแวดล้อมดิจิทัลที่ครอบคลุมมากขึ้น ช่วยให้ธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลางสามารถเติบโตในเศรษฐกิจยุคใหม่ได้อย่างยั่งยืน
“โอกาสการเติบโตของ Kintone ยังมีอีกมาก เนื่องจากปัจจุบัน Kintone มีลูกค้าในประเทศไทยประมาณ 300-400 บริษัท จากทั้งหมด 1,200 บริษัท ในกลุ่มประเทศ SEA (South East Asia) ซึ่งเราเห็นจำนวนผู้ใช้ที่เพิ่มขึ้น จากบริษัทไทยที่กำลังมองหาระบบ ที่จะเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ซึ่งทางบริษัท เน้นอยู่ 3 กลุ่มธุรกิจด้วยกัน คือ เซอร์วิส เทรดดิ้ง, แมนูแฟกเจอริ่ง รวมถึงหน่วยงานภาครัฐ ก็สามารถใช้โซลูชันของทาง Kintone ได้ ทั้งนี้ Kintone ตั้งเป้าที่จะเข้าถึงลูกค้า 5,000 บริษัท ในกลุ่มประเทศ SEA ให้ได้ภายในระยะเวลา 3 ปี” นายน้ำยา กล่าวทิ้งท้าย