Kintone ชูโซลูชันการทำงานแบบ No-code เครื่องมือผลักดัน SMBs ไทย สู่องค์กรดิจิทัลยุคใหม่ ตั้งเป้าผู้ใช้งาน 5,000 บริษัท ภายใน 3 ปี

Kintone (ประเทศไทย) บริษัทในเครือของ Cybozu ผู้ให้บริการกรุ๊ปแวร์สำหรับธุรกิจจากประเทศญี่ปุ่น ได้ทำการศึกษาตลาดดิจิทัลโซลูชันในประเทศไทยมากว่า 4 ปี และได้ค้นพบ Pain Point จึงสร้างโซลูชันพื้นที่การทำงานรูปแบบ DIY ที่ให้ผู้ใช้งานสามารถสร้างหรือปรับแต่งได้เองแบครบวงจร โดยไม่จำเป็นต้องมีความเชี่ยวชาญด้านไอที และไม่จำเป็นต้องเขียนโปรแกรม (no-coding) ให้ยุ่งยาก ช่วยตอบโจทย์การทำงานของผู้คนในส่วนต่าง ขององค์กรให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนโฉมออฟฟิศรูปแบบเดิม สู่องค์กรดิจิทัลแบบ Do-It-Yourself (DIY) ส่งเสริมองค์กรไทยให้สามารถนำเทคโนโลยีไปใช้เพื่อการเติบโต ลดระยะเวลาการทำงาน เพิ่มยอดขาย และสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันในระดับประเทศและระดับโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Kintone ได้ออกแบบระบบการทำงานที่มุ่งเน้นในเรื่องความปลอดภัย (Security) ของข้อมูลลูกค้าเป็นหลัก พร้อมชูในเรื่องความยืดหยุ่น (Flexible) ของโซลูชันการทำงาน ที่มี Template ให้เลือกหลากหลาย สามารถตอบโจทย์การทำงานได้ทุกรูปแบบในองค์กร เช่น ฝ่ายบุคคล ฝ่ายขาย หรือฝ่ายจัดซื้อ และอื่น ทำหน้าที่เป็นระบบศูนย์กลาง มุ่งเน้นการแบ่งปันฐานข้อมูล ช่วยลดต้นทุนการดำเนินงาน ลดเวลาการทำงาน เพิ่มยอดขาย รวมถึงเสริมประสิทธิภาพให้องค์กรขนาดกลางและขนาดย่อม (SMBs) ของไทย

นายน้ำยา วายุภาพ กรรมการผู้จัดการ บริษัท Kintone (Thailand) เปิดเผยว่าตามข้อมูลของ Deloitte (ดีลอยท์) ประเทศไทย พบว่า องค์กรส่วนใหญ่เร่งที่จะปรับรูปแบบองค์กรสู่องค์กรดิจิทัล ในปี 2021 ซึ่งเป็นช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโควิด 19 ในระยะแรกๆ แต่ก็ยังมีบางองค์กรไม่ประสบความสำเร็จในการปรับปรุงประสิทธิภาพทางธุรกิจ เนื่องจากขาดประสบการณ์และการดําเนินการล่าช้า ต่อมาในปี 2022-2023 องค์กรต่างๆ เริ่มมีการปรับตัวเชิงกลยุทธ์และเลือกใช้แนวทางที่เหมาะกับองค์กรของตนมากขึ้น โดยอัตราความสําเร็จในการปรับตัวสู่องค์กรดิจิทัลก็ดีขึ้นเช่นกัน ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลจึงอยู่ในระดับปานกลางตลอดปี 2023 ที่สำคัญคือ ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่เศรษฐกิจ ทรงพลังมากที่สุดในภูมิภาคนี้ โดยประชากรกว่า 80% สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ และเป็นบริษัทธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMBs) มากกว่า 99% ซึ่งบริษัทธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ต่างให้ความสนใจในการลงทุนเปลี่ยนโฉมสู่ออฟฟิศดิจิทัลมากถึง 43% แต่ก็ยังคงมีอุปสรรคในการนำเทคโนโลยีจากต่างประเทศมาใช้

SMBs ต้องระมัดระวังเรื่องต้นทุน แต่โซลูชันดิจิทัลยังช่วยได้

ขณะที่ตลาดเทคโนโลยีโลกมีโซลูชันการทำงานให้เลือกใช้มากมาย แต่เจ้าของธุรกิจชาวไทยจำนวนมากยังคงกังวลเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการดำเนินการและการบำรุงรักษาระบบใหม่ที่มีความซับซ้อน ส่งผลให้บริษัทธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMBs) ส่วนใหญ่ ไม่ได้มีการจ้างบุคลากรไอทีที่มีความสามารถในตลาด และมีความต้องการสูงในประเทศได้ อีกทั้ง เมื่อพิจารณาถึงการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ก็ยังมีความกังวลหลายประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องค่าใช้จ่ายเริ่มต้นในการนำโซลูชันซอฟต์แวร์มาใช้ ซึ่งอาจถูกออกแบบให้มีราคาย่อมเยาในช่วงเริ่มต้น แต่ค่าสมาชิกในระยะยาวอาจมีการปรับเพิ่มมากขึ้น ทำให้องค์กรต้องแบกรับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น ดังนั้น องค์กรควรประเมินค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้นอย่างรอบคอบ พร้อมทั้งพิจารณาถึงความคุ้มค่า และการประหยัดต้นทุนในระยะยาว รวมถึงสำรวจทางเลือกอื่นๆ ให้เหมาะสมกับองค์กรก่อนตัดสินใจเลือกซื้อโซลูชันซอฟต์แวร์ 

จากสถานการณ์ดังกล่าว Kintone ผู้สร้างดิจิทัลโซลูชันการทำงานแบบ DIY เป็นส่วนสำคัญที่จะเข้ามาเปลี่ยนโฉมวงการธุรกิจไทย สร้างระบบใหม่ให้สามารถใช้งานควบคู่กับระบบเดิม ผลักดันให้องค์กรในไทยสามารถทำ Digital Transformation ขับเคลื่อนองค์กรไปได้ไกลยิ่งขึ้น โดยตอบสนองได้ตามความต้องการของผู้ใช้งาน ผ่านการสร้างแอปพลิเคชันที่สามารถจัดการกระบวนการทำงานด้วยตนเองได้แบบครบวงจรแบบ all-in-one พร้อมออกแบบ Workflow ในองค์กรได้แบบไม่จำเป็นต้องเขียนโปรแกรม (no-coding) ให้ยุ่งยาก และเชื่อมต่อทุกระบบผ่าน Cloud Service ทำให้พนักงานที่อยู่ที่สำนักงาน บ้าน หรือที่ออกไปพบปะลูกค้า สามารถเข้าถึงระบบการทำงานได้อย่างง่ายดาย ขณะเดียวกัน Kintone ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของหลายฟังก์ชั่นธุรกิจในองค์กร เช่น ฝ่ายบุคคล, ฝ่ายขาย, ฝ่ายผลิต, ฝ่ายจัดซื้อ, ฝ่าย IT, ฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์, ฝ่ายวางแผนองค์กร และอื่นๆ ทำหน้าที่เป็นระบบศูนย์กลาง ช่วยลดต้นทุนในการดำเนินงาน ลดเวลาการทำงาน เพิ่มยอดขาย รวมถึงเสริมประสิทธิภาพให้องค์กร ไม่ว่าจะเป็นเอกสารกองโต ไฟล์งานที่กระจัดกระจาย การประสานงานที่ล่าช้าและซ้ำซ้อน ช่วยลดความเสี่ยงข้อมูลหาย โดย Kintone จะช่วยเพิ่มความสามารถในการตอบสนองความต้องการของลูกค้า และรับมือกับคู่แข่งได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ส่งเสริมให้ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมประสบความสำเร็จในเศรษฐกิจยุคใหม่ 

จุดเด่นของ Kintone คือ การนำ SaaS (Software as a Service) เข้ามาปรับใช้กับธุรกิจของ Kintone เป็นการให้บริการในด้านซอฟต์แวร์รูปแบบหนึ่ง ผ่านระบบ Cloud ทำให้เราสามารถเข้าถึงข้อมูลต่าง ๆ ได้ทุกที่ ทุกเวลา เพียงแค่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ก็สามารถเข้าใช้งานได้หลายซอฟต์แวร์ เช่น E-mail, Dropbox, Canva รวมถึงซอฟต์แวร์แบบดั้งเดิมที่ต้องใช้งานในรูปแบบออฟไลน์ ก็มีการพัฒนามาใช้ในรูปแบบ SaaS แทน เช่น Microsoft Office 365 ที่เปลี่ยนมาเป็น Google Docs, Google Sheets, Google Slides เป็นต้น เป็นการช่วยให้ธุรกิจสามารถปรับตัวเข้ากับโลกดิจิทัล และนำข้อมูลมาสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าได้อย่างต่อเนื่อง อีกทั้งซอฟต์แวร์ SaaS ก็มีความยืดหยุ่น เพราะสามารถเปลี่ยนแพ็คเกจการสมัครสมาชิกให้ขยายไปพร้อมกับธุรกิจที่กำลังเติบโตได้ ตามความต้องการ โดย ซอฟต์แวร์ SaaS ของ Kintone มีระบบรองรับการสำรองข้อมูล และการรักษาความปลอดภัยขั้นสูง ซึ่งบริการดังกล่าว ลูกค้าจ่ายค่าบริการเพียงแค่ค่าการสมัคร สำหรับผู้ล็อกอินเข้ามาใช้งาน เบื้องต้น 1 บริษัทที่ต้องการให้พนักงานเข้าใช้งาน 5 คน เฉลี่ยต่อเดือนจ่ายเพียงประมาณ 4,000 บาทเท่านั้น

ระบบ DIY ไม่ใช่การพึ่งพาตัวเองทั้งหมด

แม้โซลูชันการทำงานแบบ DIY ของ Kintone จะถูกออกแบบมาให้ผู้ใช้งานสามารถปรับแต่งระบบเองได้ 100% แต่ไม่ได้หมายความว่าความรับผิดชอบทั้งหมดจะอยู่ที่ผู้ใช้งาน 100% เนื่องจาก Kintone มีทีมงานซัพพอร์ตสำหรับผู้ใช้งานคนไทยด้วยภาษาไทย พร้อมให้การสนับสนุนที่ครอบคลุมทั้งการติดตั้ง การออกแบบรูปแบบการทำงาน รวมถึงการให้ความช่วยเหลือจากทีมให้ความรู้ด้านดิจิทัลตลอดเวลา ซึ่งทีมงานทุกคนมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับวัฒนธรรมไทยและพลวัตในองค์กร ทำให้มั่นใจได้ว่าจะให้คำแนะนำผู้ใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ช่วยให้เจ้าของธุรกิจและพนักงานมีความรู้ด้านดิจิทัลที่จำเป็น โดยใช้ประโยชน์จากศักยภาพทั้งหมดของเทคโนโลยี DIY 

ทั้งหมดถือเป็นอีกหนึ่งแนวทางสำคัญ ในการเร่งการปฏิรูปองค์กรดิจิทัลในประเทศไทย ด้วยการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ กระบวนการทำงาน และการสร้างวัฒนธรรมองค์กร เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและพัฒนาธุรกิจให้เติบโตแบบก้าวกระโดด โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMBs) จำเป็นต้องมีโซลูชันที่คำนึงถึงราคา ที่สามารถเข้าถึงได้ และความสามารถในการแก้ไขปัญหา เพื่อลดช่องว่างทางด้านทักษะดิจิทัลของคนในองค์กร การนำโซลูชัน DIY มาใช้มากขึ้น ประเทศไทยจะสามารถสร้างสภาพแวดล้อมดิจิทัลที่ครอบคลุมมากขึ้น ช่วยให้ธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลางสามารถเติบโตในเศรษฐกิจยุคใหม่ได้อย่างยั่งยืน

โอกาสการเติบโตของ Kintone ยังมีอีกมาก เนื่องจากปัจจุบัน Kintone มีลูกค้าในประเทศไทยประมาณ 300-400 บริษัท จากทั้งหมด 1,200 บริษัท ในกลุ่มประเทศ SEA (South East Asia) ซึ่งเราเห็นจำนวนผู้ใช้ที่เพิ่มขึ้น จากบริษัทไทยที่กำลังมองหาระบบ ที่จะเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ซึ่งทางบริษัท เน้นอยู่ 3 กลุ่มธุรกิจด้วยกัน คือ เซอร์วิส เทรดดิ้ง, แมนูแฟกเจอริ่ง รวมถึงหน่วยงานภาครัฐ ก็สามารถใช้โซลูชันของทาง Kintone ได้ ทั้งนี้ Kintone ตั้งเป้าที่จะเข้าถึงลูกค้า 5,000 บริษัท ในกลุ่มประเทศ SEA ให้ได้ภายในระยะเวลา 3 ปีนายน้ำยา กล่าวทิ้งท้าย