ปัจจุบัน เซมิคอนดักเตอร์ (สารกึ่งตัวนำที่มีคุณสมบัติในการนำไฟฟ้า หรือ ชิป) เป็นส่วนประกอบ ที่ตั้งแต่อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ไปจนถึงกังหันลมรวมถึงขีปนาวุธต่างก็ขาดไม่ได้ และยังเป็นอุตสาหกรรมสำคัญที่ช่วยผลักดันการเติบโตของเศรษฐกิจในหลายประเทศ
ซึ่ง “ไต้หวัน” ได้กลายเป็นมหาอํานาจระดับโลกเพราะผลิตชิปส่งออกไปทั่วโลก โดยมีการรายงานว่า มูลค่าผลผลิตเซมิคอนดักเตอร์ของไต้หวันคาดว่าจะเติบโตเพิ่มขึ้น 22% ในปีนี้ คิดเป็นมากกว่า 5.3 ล้านล้านดอลลาร์ไต้หวัน หรือประมาณ 5.6 ล้านล้านบาท หลังจากที่ผลผลิตลดลง 10.2% เหลือ 4.3 ล้านล้านดอลลาร์ไต้หวัน (4.5 ล้านล้านบาท) ในปี 2566 เนื่องจากความต้องการด้านคอมพิวเตอร์และสมาร์ทโฟนของผู้บริโภคซบเซาลง
Cliff Hou (侯永清) ประธานสมาคมอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ไต้หวัน และรองประธานอาวุโสของ Taiwan Semiconductor Manufacturing Co (TSMC, 台積電) บริษัทผลิตชิปยักษ์ใหญ่ของไต้หวันที่ครองตลาดผลิตชิปมากกว่าครึ่งหนึ่งของโลกและมี Apple Inc และ Nvidia Corp เป็นพันธมิตรหลัก แสดงความเห็นว่า
ปัจจุบันเศรษฐกิจหลายๆ ประเทศรวมถึงไต้หวันมีการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง จากการเพิ่มขึ้นของเทคโนโลยีที่ขับเคลื่อนโดย AI ซึ่งไต้หวันควรเร่งการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ เพื่อรักษาตำแหน่งผู้ผลิตและส่งออกชิปที่อุตสาหกรรมทั่วโลกขาดไม่ได้
โดยคําพูดของ Cliff Hou เกิดขึ้นหลังจากที่ Donald Trump คว้าชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดย Donald Trump เคยกล่าวในตอนหนึ่งของการให้สัมภาษณ์ในรายการพอดแคสต์ว่า ไต้หวันได้ครองส่วนแบ่งของอุตสาหกรรมชิปของสหรัฐฯ ไปกว่า 95% ทําให้ Cliff Hou เกิดความกังวลว่า ไต้หวันอาจโดนภาษีส่งออกชิปที่สูงขึ้น เนื่องจาก Donald Trump อาจผลักดันนโยบายคุ้มครองการค้าขึ้นใหม่
ทั้งนี้ ไต้หวันยังไม่ได้รับการแจ้งเตือนการเปลี่ยนแปลงใดๆ เกี่ยวกับภาษีใหม่ที่เกี่ยวกับด้านเซมิคอนดักเตอร์จากสหรัฐฯ
ที่มา : Nikkei