เนื่องจากการชำระเงินมีความซับซ้อนมากขึ้น มาสเตอร์การ์ดจึงได้ประกาศเปิดตัว Mastercard Payment Passkey Service บริการใหม่ล่าสุดที่สามารถยืนยันตัวตนด้วยระบบไบโอเมตริกซ์บนอุปกรณ์ได้อย่างปลอดภัย ผ่านการสแกนใบหน้าหรือรอยนิ้วมือ ซึ่งเป็นวิธีเดียวกันกับที่ใช้ปลดล็อคโทรศัพท์ในทุก ๆ วัน ด้วยการผสมผสานความสามารถในการป้องกันการฉ้อโกงอย่าง Tokenization หรือการแปลงสินทรัพย์ประเภทต่าง ๆ ให้อยู่ในรูปแบบของโทเคนดิจิทัล กับความสะดวกในการใช้ Payment Passkey และการเพิ่มความสามารถในการชำระเงินแบบไม่ต้องมีบัญชีหรือลงทะเบียนให้สะดวกยิ่งขึ้นด้วย Click to Pay ทำให้ผู้ใช้งานสามารถเพลิดเพลินไปกับการชำระเงินที่ราบรื่นเพียงคลิกบนอุปกรณ์ บราวเซอร์ และระบบปฏิบัติการ ครั้งเดียวโดยไม่ต้องใส่ทั้งรหัสผ่านหรือรหัสผ่านแบบใช้ครั้งเดียว (OTP) อีกต่อไป
ที่สำคัญคือการใช้ Click to Pay ยังช่วยให้นักช็อปออนไลน์ไม่จำเป็นต้องมีบัญชีหรือบันทึกบัตรไว้กับร้านค้าอีกต่อไป เพราะการใช้วิธีการยืนยันตัวตนด้วยระบบไบโอเมตริกซ์พร้อมกับ Payment Passkey จะทำให้การชำระเงินเป็นไปอย่างรวดเร็ว สะดวก และปลอดภัยกว่าเดิม ในขณะเดียวกัน ร้านค้าก็สามารถลดจำนวนลูกค้าที่ออกจากเว็บไซต์หรือแอปฯโดยไม่ซื้อสินค้าได้ ยอดขายเพิ่มขึ้น รวมถึงป้องกันการฉ้อโกงได้ดียิ่งขึ้น ในขณะที่ผู้ออกบัตรจะได้รับสถานะ Top of Wallet หรือกลายเป็นตัวเลือกการชำระเงินที่ลูกค้าเลือกใช้เมื่อซื้อของออนไลน์และยังปลอดภัยสำหรับลูกค้าอีกด้วย ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นถึงประโยชน์ที่ครอบคลุมสำหรับทุกฝ่าย
การเปิดตัวบริการใหม่ภายในงาน Singapore FinTech Festival ถือเป็นก้าวสำคัญสำหรับภารกิจของมาสเตอร์การ์ดในการพลิกโฉมระบบการชำระเงิน นอกจากนี้ ยังเป็นการสานต่อความสำเร็จของการเปิดใช้งานระบบยืนยันตัวตนแบบไบโอเมตริกซ์ระดับโลกของบริษัทเทคโนโลยีการชำระเงิน ผ่านบริการ Mastercard Payment Passkey Service ให้กับผู้ใช้งานหลายล้านคนในอินเดียเมื่อเดือนสิงหาคมปีนี้ และได้มีการขยายไปยังตลาดสำคัญ ๆ ทั่วโลก ภายในระยะเวลาไม่กี่เดือน Mastercard Payment Passkey Service ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วและแพร่หลายในหมู่ร้านค้าและยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากธนาคารชั้นนำ ผู้ให้บริการชำระเงิน และร้านค้าออนไลน์ต่างก็หันมาใช้บริการดังกล่าว
นายซานดีป มัลโหตรา (Sandeep Malhotra) รองประธานบริหารฝ่ายผลิตภัณฑ์และนวัตกรรม มาสเตอร์การ์ด ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก กล่าวว่า “เทคโนโลยีไร้สัมผัสช่วยให้การชำระเงินด้วยตนเอง ณ จุดขายเป็นไปได้อย่างสะดวกและแพร่หลาย ดังนั้น มาสเตอร์การ์ดจึงเล็งเห็นถึงโอกาสในการนำประสบการณ์แบบเดียวกันนี้มาใช้กับการชำระเงินออนไลน์ นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเราถึงยกเลิกการใส่รหัสผ่านแบบใช้ครั้งเดียวและการยืนยันตัวแบบหลายขั้นตอน ด้วยระบบการยืนยันตัวตนแบบไบโอเมตริกซ์ผ่าน Payment Passkeys ผู้ซื้อไม่จำเป็นต้องยุ่งยากกับการชำระเงินแบบหลายขั้นตอนอีกต่อไป ในขณะที่ร้านค้าเองก็ได้รับประโยชน์ในด้านความเร็วและความปลอดภัย”
ประโยชน์สำคัญ ๆ ของ Mastercard Payment Passkey Service:
• การชำระเงินที่ง่ายดาย: Payment Passkey พร้อมส่งมอบประสบการณ์ที่ง่ายและสะดวกสบายให้แก่ผู้ใช้งาน โดยไม่จำเป็นต้องรอแอปพลิเคชันธนาคารหรือการแจ้งเตือน (ซึ่งมักจะเป็นปัญหาอย่างยิ่งเมื่อการเชื่อมต่อสัญญาณไม่เสถียร)
• ยอดขายเพิ่มมากขึ้น: ร้านค้าจะสามารถลดจำนวนลูกค้าที่ออกจากเว็บไซต์หรือแอปฯโดยไม่ซื้อสินค้าได้ เพราะลูกค้าสามารถทำธุรกรรมได้อย่างรวดเร็ว ง่าย และมีความน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น
• ความปลอดภัยที่เข้มงวดยิ่งขึ้น: ด้วยเทคโนโลยีการยืนยันตัวตนแบบไบโอเมตริกซ์ผ่านการใช้ Payment Passkey สามารถป้องกันความเสี่ยงจากการถูกขโมยรหัส ป้องกันผู้ซื้อจากการถูกฉ้อโกงและหลอกลวง ทำให้ร้านค้าสามารถมุ่งเน้นไปที่เรื่องการดูแลลูกค้าและพัฒนาสินค้าเพื่อสร้างความไว้วางใจแทนที่จะต้องมานั่งกังวลกับเรื่องความปลอดภัยของการชำระเงิน
แม้ว่าการใช้รหัสผ่านและใส่รหัสแบบใช้ครั้งเดียว (OTP) จะได้รับความนิยม แต่การยืนยันตัวตนด้วยวิธีการแบบดั้งเดิมเหล่านี้กลับมีความเสี่ยงต่อการถูกล่อลวงทางออนไลน์อย่างยิ่ง เช่น การหลอกล่อโดยวิธีทางจิตวิทยาหรือถูกดักข้อมูลโดยมิจฉาชีพผ่านหน้าจอ ซึ่งในความเป็นจริงนั้นพบว่า การละเมิดข้อมูลที่ได้รับการยืนยันทั่วโลกกว่า 80% เกี่ยวข้องกับรหัสที่คาดเดาง่ายหรือถูกขโมย ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจเมื่อผู้ใช้งานส่วนใหญ่ (91%) ในเอเชียแปซิฟิกมีความกังวลต่อเรื่องภัยคุกคามทางไซเบอร์ เพื่อป้องกันปัญหานี้ การใช้รหัสผ่านแบบดั้งเดิมและแบบใช้ครั้งเดียวจึงถูกแทนที่ด้วย Mastercard Payment Passkey ที่มีการยืนยันตัวตนแบบไบโอเมตริกซ์ ทำให้การทำธุรกรรมเป็นไปอย่างรวดเร็วและปลอดภัยมากขึ้น เพราะสามารถป้องกันความเสี่ยงในการสูญเสียหรือเผยแพร่ข้อมูลส่วนตัวโดยไม่ได้ตั้งใจแก่มิจฉาชีพ
ที่สำคัญคือ Mastercard Payment Passkey Service ที่มีการแปลงข้อมูลการชำระเงินและการยืนยันตัวตนแบบไบโอเมตริกซ์ให้อยู่ในรูปแบบของโทเคนดิจิทัล (Tokenization) จะช่วยรับประกันได้ว่าข้อมูลการชำระเงินและข้อมูลไบโอเมตริกซ์ของผู้ใช้จะไม่ถูกเผยแพร่แก่บุคคลที่สาม ทำให้ข้อมูลดังกล่าวไม่มีประโยชน์สำหรับนักต้มตุ๋นและมิจฉาชีพ
การใช้งาน
ผู้ใช้แค่ลงทะเบียนบัตรมาสเตอร์การ์ดเพียงครั้งเดียวเพื่อใช้ Payment Passkey สำหรับการชำระเงินเมื่อใช้จ่ายออนไลน์
1.เมื่อชำระเงินกับร้านค้า ลูกค้าสามารถเลือกใช้บัตรมาสเตอร์การ์ดของตนไม่ว่าจะเป็นการซื้อแบบไม่มีบัญชีหรือหากมีบัญชีก็สามารถเลือกบัตรที่มีการบันทึกไว้ได้เลย
2.จากนั้นยืนยันการชำระเงินผ่านการยืนยันตัวตนแบบไบโอเมตริกซ์ ด้วย การสแกนลายนิ้วมือหรือการสแกนใบหน้า
3.การชำระเงินจะเสร็จสมบูรณ์ทันทีที่ยืนยันตัวตนเรียบร้อยแล้ว
บริษัทแว่นตาเลนสคาท (Lenskart) ในประเทศสิงคโปร์ได้เริ่มใช้การยืนยันตัวตนแบบไบโอเมตริกซ์ผ่าน Mastercard Payment Passkey Service ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากจัสเพย์ (Juspay) และธนาคารที่มีชื่อเสียงในประเทศ อย่าง ดีบีเอส (DBS) และยูโอบี (UOB) ทำให้การซื้อแว่นตากลายเป็นเรื่องที่รวดเร็ว ปลอดภัย และไม่จำเป็นต้องใส่รหัสผ่านให้วุ่นวาย
นางแจน ลิม (Jan Lim) ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายธุรกิจประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของเลนสคาท กล่าวว่า “Mastercard Payment Passkey Service นับเป็นบริการที่เข้ามาพลิกโฉมวงการอีคอมเมิร์ซ ด้วยการกำจัดข้อบกพร่องที่ส่งผลต่อประสบการณ์ของลูกค้า ทำให้ลูกค้าสามารถซื้อแว่นตาของเราได้ในคลิกเดียว เราจึงสามารถมุ่งเน้นไปที่การรังสรรค์แว่นตาแฟชั่นที่ดีที่สุดได้ แทนที่จะต้องมากังวลกับเรื่องของความปลอดภัยในการชำระเงินหรือการสั่งซื้อสินค้า”
“การเปิดตัวแนวคิดใหม่ของอุตสาหกรรมนี้ในเอเชียเป็นการตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของจัสเพย์ในการพัฒนาอีคอมเมิร์ซผ่านนวัตกรรมและเทคโนโลยี ด้วย Mastercard Payment Passkey Service ร้านค้าจะเห็นอัตราความสำเร็จในการชำระเงินและยอดขายที่สูงขึ้นอย่างชัดเจน ในขณะที่ผู้ใช้งานเองก็สามารถชำระเงินด้วยระบบไบโอเมตริกซ์ที่ปลอดภัยโดยไม่ซับซ้อนและหลายขั้นตอน ทำให้การชำระเงินดิจิทัลเป็นไปอย่างราบรื่นและเข้าถึงง่าย” นายชีทาล ลาลวานี (Sheetal Lalwani) ซีโอโอและผู้ร่วมก่อตั้งของจัสเพย์ กล่าว
นอกจากนี้ มาสเตอร์การ์ดยังใช้มาตรฐานอุตสาหกรรมจาก EMVCo, World Wide Web Consortium และ FIDO Alliance เพื่อเพิ่มความรวดเร็วและปลอดภัยในการชำระเงิน โดยการรวมข้อมูลการชำระเงินแบบโทเค็นกับการยืนยันตัวตนแบบไบโอเมทริกซ์เข้าด้วยกัน