De Leaf แบรนด์สกินแคร์ที่มีจุดเริ่มต้นจากแป้งทานาคากระป๋องเขียวและสบู่สมุนไพรทานาคาที่เป็นที่นิยมและขายดี สู่ผู้นำด้านนวัตกรรมที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นในอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ดูแลผิวของไทย คุณศุภชัย จูพานิชย์ เจ้าของแบรนด์ “De Leaf” ที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2010 ภายใต้บริษัท มีความสุขทุกวัน จำกัด ด้วยความเชื่อหลักที่ว่าส่วนผสมจากธรรมชาติที่แท้จริงสามารถดูแลสุขภาพผิวให้สวยและแข็งแรงได้ โดยช่วงหลายปีที่ผ่านมา บริษัทได้เติบโตและพัฒนาอย่างก้าวกระโดด ขยายการส่งออกไปยังประเทศต่างๆ เช่น เมียนมา ลาว สหรัฐอเมริกา เม็กซิโก มาเลเซีย และจีน และมีแผนที่จะเติบโตในระดับนานาชาติต่อไปในปีนี้ ทำให้แบรนด์และผลิตภัณฑ์คุณภาพของไทยเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก และล่าสุดคว้ารางวัล ‘Asia’s Most Promising SMEs’ จาก Asia Corporate Excellence & Sustainability Awards (ACES AWARDS 2024) ซึ่งเป็นหนึ่งในสุดยอดรางวัลเกียรติยศที่มอบให้กับผู้นำองค์กร บริษัทและแบรนด์ชั้นนำต่างๆ ในเอเชีย เพื่อเป็นการถ่ายทอดเรื่องราวความสำเร็จรวมทั้งวิสัยทัศน์ผู้นำจากเอเชียสู่การรับรู้ในระดับโลก ตอกย้ำความสำเร็จและคุณภาพในผลิตภัณฑ์ทุกชิ้นจาก De Leaf
สำหรับปัจจัยความสำเร็จของ De Leaf นั้นมีหลายปัจจัยด้วยกัน เพราะ De Leaf มีความมุ่งมั่นที่จะส่งมอบความสุขผ่านสุขภาพผิวที่ดีและมีชีวิตชีวา ดำรงธุรกิจโดยเน้น 3 กลยุทธ์หลักที่ทำให้มีผลประกอบการและการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ คือ 1. Focus Product – การลงทุนออกสินค้าไม่กี่ตัวแต่เน้นการส่งเสริมและกระจายสินค้าที่มีอยู่ให้กว้างที่สุดและคงอยู่ได้ในตลาดได้ยั่งยืน 2. Focus Channels – การลงทุนในช่องทางการขายและสื่อโฆษณาไม่กี่ช่องทางแต่ให้ความสำคัญและเลือกที่ให้ผลลัพธ์มากที่สุด และ 3. Focus Country – กลยุทธ์การส่งออกโดยเลือกที่จะโฟกัสประเทศที่ตัวแทนจำหน่ายเราพร้อมร่วมลงทุนในทั้งช่องทางการขาย เพื่อการลงทุนที่ประสบการณ์ความสำเร็จในตลาดต่างประเทศของ การตลาดที่ localized และตอบโจทย์ผู้บริโภคนั้นๆ คือหัวใจหลักที่ De Leaf มุ่งเน้นและให้ความสำคัญ
จากการพัฒนาองค์กรและผลงานความสำเร็จอย่างต่อเนื่องของ De Leaf จึงนำไปสู่การคว้ารางวัล Asia’s Most Promising SMEs ซึ่งแสดงถึงความมุ่งมั่นในนวัตกรรม การมีส่วนร่วมของชุมชน และคุณภาพในอุตสาหกรรมการดูแลผิว และบริษัทฯ จะยังพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคโดยนำเอานวัตกรรมและสารสกัดจากธรรมชาติมาผสานกัน และพัฒนาศักยภาพขององค์กรให้เติบโตยิ่งขึ้นไปในระดับสากลต่อไป