เปลี่ยนชื่อเฉพาะกิจแค่เริ่มต้น!! เปิดเบื้องลึก MK ขยับตัวครั้งใหญ่ในปีนี้ เพื่อสู้ศึกธุรกิจร้านอาหาร

เราคงได้เห็นไวรัลการเปลี่ยนชื่อเฉพาะกิจของ MK มาเป็น MongKol เพื่อรับเทศกาลตรุษจีนกันแล้ว ซึ่งเบื้องลึกเบื้องหลังของแคมเปญนี้มีเป้าหมายใหญ่มากกว่าหวังสร้าง Talk of the town ในช่วงตรุษจีนเท่านั้น แต่จะเป็น ‘จุดสตาร์ทแรก’ สำหรับสร้างแรงกระเพื่อมสำคัญถึงการขยับตัวครั้งใหญ่ตลอดทั้งปี 2568 ของแบรนด์สุกี้ที่อยู่คู่คนไทยมานาน 39 ปีแห่งนี้

 

ก่อนจะไปถึงจุดนั้น เราขอวกกลับมาที่การเปลี่ยนชื่อร้านของ MK ว่ามีไอเดียและที่มาที่ไปเป็นอย่างไร?

 

‘ธมกร รุจกิจยานนท์’ Executive Creative Director บริษัท Sour Bangkok หนึ่งในทีมงานผู้คิดและสร้างสรรค์แคมเปญนี้เล่าให้ Positioning ฟังว่า โจทย์ที่ MK ต้องการคือ ทำอย่างไรก็ได้ให้แคมเปญในช่วงตรุษจีน ‘ปัง’ ซึ่งทางทีมงานได้มีความคิดเกิดขึ้นมาหลากหลายไอเดีย 

 

หนึ่งในนั้น คือ การเล่นกับความแข็งแรงของแบรนด์ MK ที่อยู่มามายาวนาน 39 ปี และ ใช้ชื่อนี้ไม่เคยเปลี่ยน ด้วยการคิดจะเปลี่ยนชื่อแบรนด์ ภายใต้คอนเซ็ปต์ Take Over ความมงคล โดยนำชื่อแบรนด์มาเชื่อมโยงกับคำว่า ‘มงคล’ ที่เป็นจุดขายในการทำตลาดของทุกแบรนด์ในช่วงตรุษจีน

 

“ที่ผ่านมา MK มีออกเมนูมงคลอยู่แล้ว ครั้งนี้ก็เช่นกัน แต่อย่างที่บอกด้วยโจทย์ที่ได้มา เราต้องช่วงชิงความมงคลแบบขั้นสุด เพื่อสร้างอิมแพ็คในเรื่องเอนเกจและสร้างประสบการณ์ระหว่างแบรนด์กับลูกค้า โดย MK จะเปลี่ยนชื่อเฉพาะกิจใน 4 สาขา ได้แก่ สาขาสามย่านมิตรทาวน์, เซ็นทรัล เวสต์เกต, เซ็นทรัล พระราม 3 และเซ็นทรัล พระราม 3 ซึ่งต้องขอบคุณลูกค้าด้วยที่กล้าไปกับเรา”

 

สำหรับแคมเปญตรุษจีนของ MK จะถูกจัดในทุกสาขากว่า 400 แห่งทั่วประเทศ ตั้งแต่ 14 ม.ค. – 2 ก.พ. 2568 โดยในวันที่ 28 ม.ค.นี้ ทางแบรนด์ได้เตรียมเซอร์ไพร์ซเป็นอั่งเปาไว้ให้กับลูกค้า (ส่วนสาขาที่เปลี่ยนชื่อแบรนด์จะกลับมาใช้ชื่อเดิมเมื่อแคมเปญนี้สิ้นสุดลง)

 

แล้วทำไมต้องเล่นใหญ่ขนาดนี้ ?

 

ธมกร อธิบายว่า เป็นไปตามสูตรการทำโฆษณาทั่วไป โดยถ้าต้องการสร้างอิมแพค และเอนเกจแบบ ‘ดัง’ แล้ว ‘ปัง’ ต้องสามารถดึงกระแสความสนใจและสร้างกระแสการพูดถึงได้ในวงกว้าง บวกกับแคมเปญนี้ เป็นแคมเปญแรกของปี จึงต้อง ‘เล่นใหญ่’ เพื่อสร้างให้เกิด Talk of The Town จุดกระแสให้ผู้บริโภคหันมาฟังและสนใจความเคลื่อนไหวของแบรนด์ที่หลังจากนี้จะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและน่าสนใจมากขึ้น

 

ขณะเดียวกัน MK ยังต้องการให้แคมเปญนี้สร้างความสัมพันธ์ และเพิ่มความเชื่อมโยงระหว่างแบรนด์กับลูกค้า โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ให้มากขึ้นด้วย โดยความได้เปรียบของ MK คือ เป็นแบรนด์ที่เป็นตำนาน และมีความผูกพันกับผู้บริโภคมายาวนาน เมื่อแบรนด์เกิดการเปลี่ยนแปลง ย่อมดึงความสนใจและสร้างการมีส่วนร่วมกับผู้คนได้ดีกว่าแบรนด์ใหม่หรือแบรนด์ที่อยู่ในตลาดมาไม่นาน

 

“ความท้าทายของแคมเปญนี้ คือ Make it Happen เพราะทุกคนอาจคิดไอเดียแบบเดียวกันได้ แต่ทำให้เกิดขึ้นจริง และทำออกมาให้ดีนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เลย ซึ่งหลังจากปล่อยแคมเปญนี้ไปก็ได้รับการตอบรับแบบออแกนิคที่ดีทั้งจากเพจสื่อและลูกค้าทั่วไป สเต็ปต่อไปขึ้นอยู่กับว่า เราจะรักษาโมเมนตัมนี้ได้อย่างไร”

 

อย่างไรก็ตาม เป้าหมายแท้จริงของการเคลื่อนไหวครั้งนี้ MK ไม่ได้หวังแค่จะสร้างกระแสเฉพาะในช่วงตรุษจีนเท่านั้น ทว่ายังเป็นเหมือน ‘กดปุ่มสตาร์ท’ ที่ส่งสัญญาณถึงการขยับตัวครั้งใหญ่ของ MK ที่นับจากนี้จะเห็นความเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง เพื่อฝ่าความท้าทายรอบด้านที่ต้องเผชิญอยู่ในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นภาวะเศรษฐกิจที่มีผลต่อกำลังซื้อของผู้คน, การแข่งขันที่ดุเดือดและการรุกหนักของคู่แข่ง โดยเฉพาะ ‘สุกี้ตี๋น้อย’

 

โดยสิ่งที่เราจะได้เห็นการขยับตัวใหญ่ของ MK หนึ่งในนั่น คือ การปรับกลยุทธ์ในเรื่อง ‘ราคา’ ให้สามารถแข่งขันได้ รวมไปถึงจะมีการปรับและพัฒนาในด้านต่าง ๆ ที่จะเห็นตลอดทั้งปี 2568 อาทิ การสื่อสารและทำตลาดในเชิงรุก, การออกสินค้าใหม่ เป็นต้น

 

ส่วนจะสามารถพลิกสถานการณ์ของ MK ให้กลับมาเติบโตยืนหนึ่งเป็นผู้นำในธุรกิจร้านอาหาร โดยเฉพาะตลาดสุกี้อย่างที่ผ่านมาได้หรือไม่ ต้องคอยติดตามจับตามองความเคลื่อนไหวหลังจากนี้