คนรุ่นมิลเลนเนียล (Millennials) หรือผู้ที่เกิดระหว่าง ปี ค.ศ. 1982 – 1996 ในอดีตเคยถูกมองว่าเป็นคนรุ่นขี้เกียจและเอาแต่ใจ (คล้ายกับที่คน Gen Z ยุคนี้โดน)
แต่ในปัจจุบัน พวกเขากลับมีฐานะทางการเงินดีกว่ารุ่นพ่อแม่ในวัยเดียวกัน แม้ว่าจะเข้าสู่จุดเปลี่ยนสำคัญของชีวิต เช่น การซื้อบ้านหรือสร้างครอบครัว ช้ากว่าคนรุ่นก่อนก็ตาม
ตามข้อมูลจากธนาคารกลางสหรัฐ พบว่า คนรุ่นมิลเลนเนียล มีความมั่งคั่ง ณ ไตรมาส 3 ปี 2024 อยู่ที่ 15.95 ล้านล้านดอลลาร์ ”สูงขึ้น 4 เท่าภายใน 5 ปี“ หรือเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2019 ที่มีความมั่งคั่งเพียง 3.94 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
ตามการรายงานจาก St. Louis Fed พบข้อมูลน่าสนใจว่า
- คนรุ่นมิลเลนเนียลที่มีอายุ 36-45 ปี มีความมั่งคั่งเฉลี่ยสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ 37%
- คนรุ่นมิลเลนเนียล และ Gen Z ที่มีอายุ 26-35 ปี มีความมั่งคั่งสูงกว่าที่คาด 39%
ทว่าความมั่งคั่งที่เพิ่มขึ้นนี้ ถูกมองว่าเป็น “ความมั่งคั่งลวงตา”
ความมั่งคั่งลวงตา คืออะไร?
แม้ตัวเลขความมั่งคั่งจะเพิ่มสูงมาก แต่กลุ่มเจนมิลเลนเนียลจำนวนมาก กลับไม่รู้สึกว่าร่ำรวยขึ้นเลย
ความแตกต่างระหว่าง ความมั่งคั่งผ่านตัวเลขบนกระดาษ กับ ความรู้สึกมั่นคงทางการเงิน เรียกว่า “phantom wealth” หรือ ”ความมั่งคั่งลวงตา“
ยกตัวอย่าง เรามีสินทรัพย์ อาทิ กองทุนเกษียณ, บ้าน/ที่ดิน และสินทรัพย์เหล่านี้มีมูลค่าสูงขึ้นเรื่อย ๆ แต่ไม่สร้างผลกระทบต่อกระแสเงินสดรายวัน
“แม้มูลค่าความมั่งคั่งของเจนมิลเลนเนียมจะเพิ่ม แต่ในชีวิตจริงอาจประสบปัญหาทางการเงินก็ได้”
สอดคล้องกับ รายงานของ St. Louis Fed พบว่า ระหว่างปี 2019-2022 ราคาบ้านในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นถึง 44% ทำให้มูลค่าความมั่งคั่งเฉลี่ยของคนหนุ่มสาวพุ่งสูงขึ้น
แต่กระนั้น การเป็นเจ้าของบ้านไม่ได้หมายความว่าจะสามารถใช้ประโยชน์จากความมั่งคั่งนั้นได้จริง
Michael Liersch หัวหน้าฝ่ายที่ปรึกษาการเงินของ Wells Fargo อธิบายว่า หากไม่ได้วางแผนจะขายบ้านหรือย้ายไปอยู่บ้านที่เล็กลง เราก็ไม่สามารถนำมูลค่าที่เพิ่มขึ้นของบ้านมาใช้จ่ายได้ ซึ่งเป็นปัญหาสำหรับคนรุ่นมิลเลนเนียลที่ยังไม่สามารถใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินของตัวเองได้นั่นเอง
ทำไมคนรุ่นมิลเลนเนียลถึงรู้สึกว่าเงินไม่พอ?
Brett House ศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์จาก Columbia Business School ให้ความเห็นว่า คำว่า “phantom wealth” อาจไม่ใช่คำที่ถูกต้อง เพราะทรัพย์สินมีอยู่จริง แต่ก็ยอมรับว่ามีปรากฏการณ์ทางเศรษฐกิจที่ทำให้คนรุ่นนี้รู้สึกถึงความมั่งคั่งลวงตา
แม้ว่าครัวเรือนจะร่ำรวยขึ้น แต่ภาวะเงินเฟ้อและความไม่แน่นอนทำให้มีคนจำนวนมากขึ้นที่อยู่ในกลุ่มที่เรียกว่า HENRYs หรือ “ผู้มีรายได้สูง แต่ยังไม่รวย” Brett House กล่าว
ทั้งนี้ ปรากฏการณ์ HENRY ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในกลุ่มมิลเลนเนียลหรือ Gen Z เท่านั้น แต่เป็นปัญหาของทุกคน เพราะปัจจุบัน แต่ละคนต้องรับผิดชอบความเสี่ยงทางการเงินมากขึ้น เช่น ค่ารักษาพยาบาล เงินเกษียณ และประกันภัย ท่ามกลางภาวะเงินเฟ้อที่สูงขึ้น
ค่าใช้จ่ายสูงขึ้น แต่เงินเก็บยังน้อย
Sophia Bera Daigle ซีอีโอของ Gen Y Planning ซึ่งเป็นบริษัทวางแผนการเงินสำหรับมิลเลนเนียล อธิบายว่า แม้ว่าคนรุ่นนี้จะมีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้น แต่พวกเขาก็เผชิญกับภาระหนี้สินที่สูงขึ้นด้วย
“พวกเขามีหนี้เงินกู้เพื่อการศึกษา หนี้บ้าน หนี้รถยนต์ และค่าเลี้ยงดูบุตรที่แพงขึ้นเรื่อย ๆ” เธอกล่าว พร้อมเสริมว่า “กระแสเงินสดของพวกเขาตึงตัว”
แม้ว่ามูลค่าทรัพย์สินจะเพิ่มขึ้น แต่ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า ความรู้สึกมั่นคงทางการเงิน ไม่ได้ขึ้นอยู่กับตัวเลขความมั่งคั่งเพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับความสามารถในการใช้จ่ายน้อยกว่าที่หาได้
กล่าวอีกนัยหนึ่ง แม้ว่าเราจะมีบ้านหรือทรัพย์สินมูลค่าสูง แต่ถ้าไม่มีเงินสดพอใช้ในชีวิตประจำวัน ก็อาจจะยังไม่รู้สึกว่าตัวเองร่ำรวยก็เป็นได้…