ที่ผ่านมาย่าน “พหลโยธิน” เป็น Strategy Location ของ บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา (CPN) ที่ได้ริเริ่มสร้างและเปิดตัว “เซ็นทรัล ลาดพร้าว” โครงการมิกซ์ยูสแห่งแรกในไทยขึ้นมา เมื่อ 42 ปีก่อน
ซึ่งได้รับผลตอบรับดี สะท้อนยอดขายของเซ็นทรัล ลาดพร้าว ที่ติดท็อป 5 ในกลุ่มศูนย์การค้าเซ็นทรัล ใกล้เคียงกับ เซ็นทรัลเวิลด์ และเซ็นทรัลชิดลม ที่อยู่ย่านกำลังซื้อสูงใจกลาง CBD ขณะที่ทราฟฟิกก็สูงถึง 150,000 คน/วัน
ด้วยโลเคชั่นเชื่อมถนนสามสายหลัก ถนนพหลโยธิน ถนนลาดพร้าว และถนนวิภาวดีรังสิต ขณะเดียวกันยังเป็นจุดเชื่อมต่อสถานีรถไฟฟ้า Interchange ระหว่าง BTS ห้าแยกลาดพร้าว และ MRT พหลโยธิน

นั่นจึงทำให้กลุ่มเซ็นทรัล ปั้นเมกะโปรเจกต์อีก 1 โครงการขึ้นมา คือ “The Central” พหลโยธิน ตรงข้ามกับแดนเนรมิต เสริมความแข็งแกร่งของย่าน ด้วยศูนย์การค้า 2 แห่งในเครือ บนทำเลใกล้เคียงกัน
เบื้องต้น เซ็นทรัล พหลโยธิน พัฒนาเป็นรูปแบบมิกซ์ยูส บนที่ดิน 49 ไร่ (ใหญ่ติดอันดับ 3 ของศูนย์การค้าในเครือเซ็นทรัล) เตรียมเปิดตัวไตรมาส 4 ปี 2569
โดย เฟสแรกวางงบลงทุน 20,000 ล้านบาท เพื่อทำศูนย์การค้าระดับ Flagship ในอนาคต ซึ่งมีขนาดพื้นที่ศูนย์การค้ารวม (GBA) 460,000 ตร.ม. ใหญ่กว่ารีเทลของเซ็นทรัล ลาดพร้าว ที่มีพื้นที่ค้าปลีกรวม 78,700 ตร.ม.
“เซ็นทรัล พหลโยธิน จะดึงดูดกำลังซื้อผู้บริโภคกรุงเทพฯ ตอนบน ที่ปัจจุบันดีมานด์ขยายตัวจากความหนาแน่นของประชากรที่เพิ่มขึ้น ดังนั้น โซนนี้จึงมีศักยภาพพร้อมสำหรับการมีศูนย์การค้าเซ็นทรัล 2 แห่ง ซึ่งจะช่วยเติมเต็มและส่งเสริมความเจริญของย่านนี้”
นั่นแปลว่า การตั้งศูนย์การค้าใกล้กัน ไม่เท่ากับแย่งลูกค้ากันเอง ในหลายกรณี การตั้งศูนย์การค้าใกล้กันช่วยเสริมให้แต่ละแห่งมีความหลากหลายมากขึ้น
โดยเฉพาะหากแต่ละแห่งมีสินค้าและบริการที่แตกต่างกันไป ซึ่งจะทำให้ลูกค้ามีตัวเลือกมากขึ้นและทำให้พื้นที่นั้นกลายเป็นแหล่งช้อปปิ้งที่มีความดึงดูดสูงขึ้น ภายใต้กลยุทธ์ “Co-location strategy” หรือ การตั้งอยู่ร่วมกัน
ตัวอย่างที่เห็นภาพได้ชัด คือ เซ็นทรัล แอมบาสซี และเซ็นทรัล ชิดลม ตลอดจนศูนย์การค้าโซนสยามที่กระจุกตัวกัน 3-4 โครงการ ก็ยังทำยอดขายได้ดี
อย่างไรก็ตาม การพัฒนาโครงการ “The Central” พหลโยธิน อาจเป็นส่วนหนึ่งของการรองรับกรณีการต่อสัญญาของ “เซ็นทรัล ลาดพร้าว” ที่จะหมดสัญญากันในปี 2571 และปัจจุบันกลุ่มเซ็นทรัลและ รฟท. อยู่ระหว่างการหารือ และยังไม่มีทิศทางที่ชัดเจนนัก