หลายท่านอาจจะทราบข่าวกันแล้วว่า Hermès กำลังเดินหน้าขยายกำลังการผลิตครั้งสำคัญ โดยมีแผนที่จะเปิดโรงงานเครื่องหนังแห่งใหม่ถึง 4 แห่งในประเทศฝรั่งเศสภายในปี 2028 ซึ่งจะนำมาซึ่งช่างฝีมืออีกหลายร้อยชีวิต เพื่อตอบสนองต่อความต้องการที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องของกระเป๋าสุดคลาสสิกอย่าง Birkin และ Kelly ที่เรียกได้ว่ามี Waiting List ยาวเหยียด
นี่ถือเป็นสัญญาณที่น่าสนใจ เพราะโดยปกติแล้ว Hermès จะขึ้นชื่อเรื่องการควบคุมปริมาณสินค้าในตลาด เพื่อรักษาความเอ็กซ์คลูซีฟและมูลค่าของแบรนด์ แต่การขยายการผลิตในครั้งนี้ บ่งบอกถึงอะไรในตลาดกันแน่?
นอกจากนี้ ในขณะที่ Hermès กำลังเร่งเครื่องการผลิต ปัจจัยแวดล้อมระดับโลกหลายส่วนกำลังส่งผลกับตลาดรวมธุรกิจสินค้าหรู ซึ่งล่าสุด Hermès เพิ่งจะแซงหน้า LVMH ขึ้นแท่นเป็นบริษัทลักชัวรีที่มีมูลค่าตลาดสูงที่สุดในโลก โดยปรากฏการณ์นี้ถูกโยงกับความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อกลยุทธ์ของ Hermès ที่เน้นการเติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไป ควบคู่ไปกับการรักษาคุณภาพและภาพลักษณ์ของแบรนด์ไว้อย่างเหนียวแน่น
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์นี้อาจไม่แน่นอน โดยเฉพาะประเด็นเศรษฐกิจและการค้าระหว่างประเทศ เช่นเรื่องภาษีนำเข้าที่สหรัฐอเมริกาประกาศใช้กับสินค้าหรูจากยุโรป ซึ่งส่งผลให้ Hermès เตรียมที่จะปรับราคาสินค้าขึ้นในสหรัฐอเมริกาตั้งแต่เดือนพฤษภาคมปี 2025 เป็นต้นไป

ทั้งหมดนี้เป็นจุดที่น่าคิดสำหรับนักลงทุนที่ถือครองหรือกำลังสนใจที่จะลงทุนในกระเป๋า Birkin และ Kelly เนื่องจากการที่ Hermès เพิ่มกำลังการผลิต อาจจะทำให้กระเป๋าเหล่านี้เข้าถึงได้ง่ายขึ้นในอนาคต แต่ในขณะเดียวกัน ราคาที่ปรับตัวสูงขึ้นเนื่องจากปัจจัยด้านภาษี ก็อาจส่งผลต่อต้นทุนในการลงทุน ดังนั้นคำถามสำคัญก็คือ ในสภาวะตลาดโลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนเช่นนี้ การลงทุนในกระเป๋า Hermès ยังคงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจอยู่เหมือนอย่างที่เคยเป็นมาหรือไม่?
เร่งกำลังการผลิต หาทางรอดพิษภาษี
รายละเอียดที่ Hermès ประกาศเกี่ยวกับแผนขยายกำลังการผลิต นั้นระบุว่าเพื่อตอบสนองความต้องการที่พุ่งสูงขึ้นของกระเป๋า Birkin และ Kelly ที่เป็นที่ต้องการมากเกินกว่ากำลังผลิตในปัจจุบัน และไม่ใช่โรงเดียว แต่เบื้องต้นวางแผนเปิดโรงงานผลิตเครื่องหนังใหม่ถึง 4 แห่งทั่วฝรั่งเศสภายในปี 2028 แต่ละแห่งจะรับช่างฝีมือเข้าทำงานหลักร้อยคน เป้าหมายคือการลดระยะเวลารอคิวที่ยาวนานโดยไม่ลดทอนคุณภาพงานฝีมือที่เป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์
ข้อมูลระบุว่าโรงงานแห่งแรกจะเปิดที่เมือง L’Isle-d’Espagnac ในปีนี้ ตามด้วยโรงงานที่ Loupes ในปี 2026, Charleville-Mézières ในปี 2027 และ Colombelles ในปี 2028 แต่ละแห่งจะจ้างช่างฝีมือ 200-300 คนที่ผ่านการฝึกอบรมจากโปรแกรมการฝึกงานภายในของ Hermès โดยเฉพาะที่ Colombelles จะมีช่างฝีมือประมาณ 260 คนเพื่อผลิตกระเป๋ารุ่นที่ได้รับความนิยมสูงอย่าง Kelly และ Constance
ที่น่าสนใจคือ การขยายกำลังการผลิตนี้จะช่วยให้ Hermès เพิ่มผลผลิตได้ประมาณ 6-7% ต่อปี ซึ่งยังคงรักษาจุดยืนในการผลิตอย่างพิถีพิถันและยึดมั่นในมาตรฐาน “Made in France” ไว้ได้อย่างเหนียวแน่น
การขยายกำลังการผลิตนี้เกิดขึ้นหลังจาก Hermès รายงานผลประกอบการที่แข็งแกร่งในช่วงต้นปี 2025 โดยธุรกิจเครื่องหนังเติบโตขึ้น 10% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ส่งผลให้รายได้ไตรมาสแรกอยู่ที่ 4.1 พันล้านยูโร เพิ่มขึ้น 7%
แม้จะเผชิญกับความท้าทายในตลาดจีน แต่ยอดขายในอเมริกาและยุโรปยังคงเติบโตอย่างโดดเด่น สะท้อนว่ากลยุทธ์การจำกัดสินค้าคงคลังเพื่อรักษาความเอ็กซ์คลูซีฟของ Hermès ประสบความสำเร็จมาก เสริมความแข็งแกร่งให้ Hermès สามารถทุบสถิติแซงหน้า LVMH กลายเป็นบริษัทสินค้าหรูหรามูลค่าสูงสุดในโลกไปเรียบร้อย ผลจากภาวะมูลค่าตลาดของ LVMH ลดลงเหลือ 246 พันล้านยูโร ในขณะที่ Hermès มีมูลค่า 247 พันล้านยูโร เมื่ออังคารที่ 22 เมษายน 2025
การเปลี่ยนแปลงนี้แสดงถึงมุมมองของนักลงทุนที่มีต่อทั้งสองบริษัท โดย LVMH ถูกมองว่ามีการเปิดรับกลุ่มลูกค้าระดับล่างของตลาดสินค้าหรูหรามากกว่า ในขณะที่ Hermès มุ่งเน้นไปที่กลุ่มลูกค้าที่มีฐานะร่ำรวยมากกว่า ทำให้สามารถรับมือกับภาวะถดถอยของอุตสาหกรรมได้ดีกว่า

ในอีกด้าน ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อตลาดสินค้าหรูหราในนาทีนี้ คือการที่ประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากยุโรป ซึ่งส่งผลให้บริษัทฝรั่งเศสหลายแห่งต้องปรับกลยุทธ์เพื่อรับมือกับแรงกดดันนี้ โดย Hermès มีจุดยืนชัดเจน ประกาศว่าจะปรับขึ้นราคาสินค้าทุกประเภทในสหรัฐฯ เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2025 เพื่อชดเชยผลกระทบจากภาษีอัตราใหม่ที่เพิ่มขึ้น 10%
ทั้งหมดทั้งมวลแปลว่า นักลงทุนที่ซื้อกระเป๋า Birkin และ Kelly อาจจะได้รับกระเป๋าเร็วขึ้น แต่ก็ต้องจ่ายแพงขึ้นด้วย ซึ่งไม่เพียงแต่ Hermès เท่านั้น เพราะ Kering เจ้าของแบรนด์ Gucci ก็จะปรับขึ้นราคาเช่นกัน ขณะที่ LVMH ก็อาจต้องใช้วิธีขยายการผลิตในสหรัฐฯ หากภาษีเพิ่มสูงขึ้นไปอีก โดย LVMH มีโรงงานผลิต Louis Vuitton อยู่แล้ว 3 แห่งและโรงงานของ Tiffany & Co. อีก 4 แห่งในสหรัฐฯ
ลงทุนต่อ หรือพอแค่นี้?
คำถามว่ากระเป๋า Birkin และ Kelly ของ Hermès ยังน่าลงทุนอยู่ไหม? อาจจะตอบได้จากการวิเคราะห์ผลกระทบระยะสั้นและระยะยาวของ 3 ประเด็นที่เกิดขึ้นในขณะนี้ นั่นคือการขยายกำลังการผลิตของ Hermès, ผลกระทบของนโยบายภาษีระหว่างประเทศ และแนวโน้มอนาคตในตลาดสินค้าหรู
ประเด็นแรกที่ Hermès กำลังเพิ่มกำลังการผลิต 6-7% ต่อปี ผ่านแผนเปิด 4 โรงงานเครื่องหนังใหม่ภายในปี 2028 นั้นอาจส่งผลทั้งด้านบวกและลบในระยะยาวได้ เพราะการเพิ่มกำลังการผลิตอาจช่วยลดระยะเวลารอคอยกระเป๋า Birkin และ Kelly ซึ่งอาจส่งผลให้ความต้องการยังคงสูงในระยะยาว เนื่องจากแบรนด์ยังคงรักษามาตรฐานและความเอ็กซ์คลูซีฟไว้ได้
แต่ในระยะสั้นถึงกลาง การมีสินค้าในตลาดมากขึ้น อาจส่งผลให้ความ “หายาก” ของกระเป๋าลดลงเล็กน้อย ซึ่งอาจส่งผลกระทบด้านลบต่อราคาในตลาดมือสอง (Resale Market) ก็ได้
อย่างไรก็ตาม Hermès ยังคงควบคุมปริมาณการผลิตอย่างระมัดระวัง ทำให้ผลกระทบนี้อาจไม่รุนแรงนัก แถมสัญญาณเชิงบวกเรื่องความต้องการก็ยังชัด เพราะการที่ Hermès ตัดสินใจเพิ่มกำลังการผลิต นั้นสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นในความต้องการสินค้าที่ยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง
ประเด็นที่ 2 คือนโยบายภาษีระหว่างประเทศ โดยจากที่สหรัฐอเมริกาได้ประกาศใช้ภาษีนำเข้า 10% สำหรับสินค้าหรูจากยุโรป ซึ่งส่งผลให้ Hermès เตรียมปรับราคาสินค้าขึ้นในสหรัฐฯ ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2025 นั้น สิ่งที่ชัดเจนคือต้นทุนการลงทุนกระเป๋าจะสูงขึ้น ทั้งนักลงทุนที่อยู่ในและนอกสหรัฐอเมริกา เพราะการปรับราคาขึ้นโดย Hermès จะทำให้ต้นทุนในการซื้อกระเป๋าใหม่สูงขึ้นโดยตรง
ในส่วนผลกระทบต่อตลาดมือสอง เชื่อว่าราคาในตลาดมือสองอาจได้รับผลกระทบบ้าง แต่เนื่องจากความต้องการสูงและสินค้ามีจำกัด ราคาอาจไม่ปรับลดลงมากนัก และอาจทรงตัวหรือปรับขึ้นเล็กน้อยในบางรุ่นที่เป็นที่ต้องการสูง ขณะเดียวกัน การปรับราคาในสหรัฐฯ อาจสร้างความแตกต่างของราคากับภูมิภาคอื่น ซึ่งอาจนำไปสู่โอกาสในการซื้อขายระหว่างประเทศ แต่ก็ต้องคำนึงถึงต้นทุนและข้อจำกัดต่างๆ ด้วย
ประเด็นที่ 3 คือแนวโน้มของตลาดสินค้าหรู การที่ Hermès แซงหน้า LVMH ขึ้นเป็นบริษัทลักชัวรีที่มีมูลค่าตลาดสูงสุด นั้นสะท้อนความเชื่อมั่นของนักลงทุนในกลยุทธ์การควบคุมอุปทานและการรักษาความเอ็กซ์คลูซีฟ แปลว่าความต้องการสินค้าหรูนั้นยังแข็งแกร่งแม้จะมีปัจจัยทางเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน เพราะดีมานด์ในตลาดสินค้าหรูโดยเฉพาะแบรนด์ที่มีความแข็งแกร่งและเอกลักษณ์เฉพาะตัว เช่น Hermès นั้นยังคงมีอยู่ โดยกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูงมักไม่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจมากนัก
แม้กลยุทธ์การควบคุมอุปทานของ Hermès จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยรักษามูลค่าของสินค้าในระยะยาว แต่ความผันผวนของตลาดตามสถานการณ์เศรษฐกิจและการเมืองโลก ก็เป็นสิ่งที่นักลงทุนควรติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด ดังนั้น ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยเนื่องจากความตึงเครียดทางการค้าและปัจจัยอื่นๆ
ผลต่อการลงทุน กระเป๋า Hermès ก็ยังถือเป็นสินทรัพย์ทางเลือกที่มีมูลค่าสูงและอาจเติบโตได้ในระยะยาว โดยเฉพาะรุ่นที่เป็นที่ต้องการและหายาก
อย่างไรก็ตาม หากเปรียบเทียบกับทองคำ มูลค่ากระเป๋า Hermès อาจมีความผันผวนตามสภาวะตลาดและกระแสความนิยม แต่
ทองคำ ยังถือเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven Asset) ที่มักได้รับความนิยมในช่วงที่เศรษฐกิจมีความไม่แน่นอนหรือเกิดวิกฤต และมูลค่าของทองคำมักจะปรับตัวขึ้นเมื่อนักลงทุนหลีกเลี่ยงสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงกว่า
สรุปแล้ว ใครที่มองว่าเศรษฐกิจโลกจะยังคงเติบโต การลงทุนในกระเป๋า Hermès อาจให้ผลตอบแทนที่ดีก็ได้ในระยะยาว เนื่องจากความต้องการที่แข็งแกร่งและมูลค่าที่อาจเพิ่มขึ้น แต่หากกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย การลงทุนในทองคำอาจเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยกว่า เพื่อรักษามูลค่าของทรัพย์สินในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูง

