เอสซีจี เคมิคอลส์ หรือ SCGC โดยนายศักดิ์ชัย ปฏิภาณปรีชาวุฒิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (มหาชน) เผยกลยุทธ์เชิงรุกระยะสั้นและระยะยาวเพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันรับตลาดปิโตรเคมีในภูมิภาคช่วงฟื้นตัวมั่นใจพร้อมรับมือทุกสถานการณ์ มุ่งเน้นพัฒนาสินค้าและบริการมูลค่าเพิ่มสูง (HVA: High Value Added Products & Services) และพอลิเมอร์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green Polymer) พร้อมเร่งเดินหน้าโครงการ LSPE คาดว่าจะแล้วเสร็จปลายปี 2570
นายศักดิ์ชัย ปฏิภาณปรีชาวุฒิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ SCGC เผยว่า “ตลาดปิโตรเคมีอยู่ในภาวะทรงตัว เห็นได้จากส่วนต่างระหว่างราคาผลิตภัณฑ์และวัตถุดิบ (Spread) ที่ค่อนข้างคงที่ตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 2567 จนถึงไตรมาส 1 ปี 2568 โดยสถานการณ์สงครามการค้า (Trade War) ระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน ส่งผลบวกในช่วงสั้นจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลง อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพราะอาจมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายได้ตลอดเวลา ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมา มีผู้ผลิตหลายรายมีการปรับลดกำลังการผลิตลงเนื่องจากมีต้นทุนสูง ซึ่งทำให้ส่วนต่างระหว่างราคาผลิตภัณฑ์และวัตถุดิบ (Spread) ไม่ลดต่ำไปกว่าเดิม คาดว่าวัฏจักรปิโตรเคมีอยู่ในช่วงต่ำสุดแล้ว”
“สำหรับวัฏจักรปิโตรเคมีขาลงในรอบนี้ถือว่ารุนแรงและยาวนานกว่าปกติ เนื่องจากมีหลายปัจจัยที่ส่งผลกระทบ อาทิ สถานการณ์โควิด 19 ความผันผวนของราคาน้ำมัน เศรษฐกิจโลกชะลอตัว ความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ รวมถึง ผู้เล่นบางรายได้ผันตัวจากการเป็นประเทศนำเข้าสู่การเป็นผู้ผลิตและส่งออก อย่างไรก็ตาม SCGC สามารถรับมือกับความท้าทายที่เกิดขึ้นโดยปรับแผนธุรกิจให้สอดคล้องกับสถานการณ์อยู่เสมอ เน้นกลยุทธ์เชิงรุกทั้งระยะสั้นและระยะยาว เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และสร้างโอกาสการเติบโตอย่างต่อเนื่องโดยมีกลยุทธ์ระยะสั้นได้แก่ 1) การลดต้นทุนวัตถุดิบ ลดเงินทุนหมุนเวียน และลดค่าใช้จ่ายด้วย Digital และ AI 2) เร่งพัฒนากลุ่มสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่มสูง หรือ HVA (High Value Added Products & Services) รวมไปถึงการพัฒนาพอลิเมอร์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green Polymer) 3) เร่งขยายธุรกิจ Service Solutions ครบวงจร และ 4) การขยายธุรกิจผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปจาก PVC (PVC Fabrication) สำหรับกลยุทธ์ระยะยาว ได้แก่ การเพิ่มวัตถุดิบก๊าซอีเทนที่โรงงาน LSP ประเทศเวียดนาม (โครงการ LSPE) เพื่อลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ SCGC กล่าว
“สำหรับกลุ่มสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่มสูง หรือ HVA นั้น ถือเป็นจุดแข็งสำคัญของ SCGC โดยมีการพัฒนานวัตกรรมอย่างต่อเนื่องเพื่อตอบโจทย์การใช้งานในชีวิตประจำวัน และการใช้งานของกลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น พอลิเมอร์สำหรับบรรจุภัณฑ์อาหาร ชิ้นส่วนยานยนต์งานโครงสร้างและวัสดุก่อสร้างเป็นต้น ซึ่งจะเห็นได้ว่า แม้อยู่ในช่วงวัฏจักรปิโตรเคมีขาลงก็ตาม แต่กลุ่มสินค้า HVA ยังได้รับการตอบรับจากตลาดในภูมิภาคเป็นอย่างดี”
“นอกจากนี้ SCGC ยังเร่งพัฒนาพอลิเมอร์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หรือ SCGC Green Polymer ซึ่งได้รับการรับรองมาตรฐานระดับโลก GRS (Global Recycled Standard) โดยใช้เทคโนโลยีรีไซเคิลขั้นสูง พร้อมกับการพัฒนาสูตรเฉพาะ (Formulation) เพื่อตอบโจทย์การใช้งานที่หลากหลาย เช่นเม็ดพลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูงชนิดไร้กลิ่นสำหรับบรรจุภัณฑ์เม็ดพลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูงสำหรับชิ้นส่วนยานยนต์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นต้น โดยSCGC ได้ขยายความร่วมมือกับคู่ค้าและเจ้าของแบรนด์ชั้นนำอย่างต่อเนื่อง อาทิ ยูนิลีเวอร์ ไลอ้อน คาโอ เจบีพี และโฮมโปร”
ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ SCGC กล่าวเพิ่มเติมว่า “SCGC ยังได้ขยายธุรกิจใหม่เพื่อสร้างโอกาสในการเติบโตและขยายฐานลูกค้าให้มากยิ่งขึ้น อาทิ ธุรกิจ “Industrial Service Solutions” โดยนำความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ด้านวิศวกรรมและเทคโนโลยีในการดูแลเครื่องจักรต่อยอดสู่ธุรกิจใหม่พัฒนาโซลูชัน“DRS by REPCO NEX” (DRS : Digital Reliability Service Solutions) เพื่อให้บริการด้านดิจิทัลโซลูชันอัจฉริยะสำหรับภาคอุตสาหกรรมแบบครบวงจรเป็นรายแรกของโลก โดยดูแลประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องจักรแบบครบวงจร (Asset Performance Management) เช่น การซ่อมบำรุงอัจฉริยะครบวงจรด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล ดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันและ ดิจิทัลแพลตฟอร์มที่ช่วยบริหารจัดการพลังงานหมุนเวียน เป็นต้น”
“สำหรับความคืบหน้าของโครงการ LSPE นั้น เมื่อต้นปีที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้เร่งเดินหน้าโครงการฯ โดยดำเนินการ 3 ภารกิจหลักได้สำเร็จ ได้แก่ 1) การลงนามในสัญญาระยะยาวซื้อขายก๊าซอีเทนและท่าเรือส่งออก 2) การลงนามในสัญญาเช่าเหมาเรือขนส่งก๊าซอีเทีน (VLECs) จำนวน 5 ลำและ 3) การลงนามในสัญญาออกแบบ จัดหาและก่อสร้างถังเก็บวัตถุดิบก๊าซอีเทน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการในรายละเอียดตามแผนที่วางไว้ คาดว่าโครงการจะแล้วเสร็จประมาณปลายปี 2570” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ SCGC กล่าวทิ้งท้าย