สงกรานต์ อิสสระ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทย ปี 2568 มีการประเมินว่า GDP โตต่ำ 2% กระทบต่อเนื่องหลายอุตสาหกรรม ทั้งอสังหาริมทรัพย์ ค้าปลีก ก่อสร้าง
ขณะที่ความน่าสนใจด้านการลงทุนก็น้อยกว่าประเทศคู่แข่ง อาทิ เวียดนาม อินโดนีเซีย ที่เขามีจำนวนแรงงาน และค่าแรงถูกกว่า
ประเทศไทยจำเป็นต้องสร้างเรื่องราวใหม่ให้น่าสนใจ ดังอดีตที่เคยมีอีสเทิร์นซีบอร์ด เมื่อ 30 ปีก่อน ดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติให้ย้ายฐานการผลิตมาที่ไทย
ขณะที่ปัจจุบันเรายังไม่มีนโยบายที่เด่นชัดนัก อาจต้องชูแผนระยะยาวที่น่าสนใจ เช่น คอคอดกระ เพื่อชิงความได้เปรียบด้านโลจิสติกส์ คนจะย้ายจากสิงคโปร์มาไทยแทน หรือการเพิ่มสิทธิการเช่าที่ดิน จาก 30 ปี เป็น 50 ปี เพื่อสร้างเซนติเมนต์ทางเศรษฐกิจ
“ตอนนี้ไทยหลังชนฝาแล้ว จำเป็นต้องตัดสินใจจะเดินหน้าไปทางซ้ายหรือขวา เราไม่มีทางรู้ว่าทางไหนจะประสบความสำเร็จมากน้อย แต่ยังดีกว่าอยู่เฉยๆ”
สงกรานต์ กล่าวต่อว่า สำหรับภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ช่วงครึ่งหลังปี 2568 คาดว่าจะหนักกว่าช่วงต้นปีแน่นอน ทำให้ผู้ประกอบการต้องเร่งปรับตัวลดค่าใช้จ่าย เลือกทำโครงการ และต้องโฟกัสเรื่องสภาพคล่องทางการเงิน
“ที่อยู่อาศัยกระทบทุกกลุ่มราคา แต่กลุ่มซูเปอร์ลักซูรี ราคา 80-100 ล้านบาท/ยูนิต ขึ้นไป กระทบน้อยสุด เพราะกลุ่มนี้กำลังซื้อสูง แต่ผู้เล่นรายหลายเห็นโอกาสตลาดนี้ก็เข้ามาชิงมาร์เก็ตแชร์ จึงคาดว่ากลุ่มระดับราคานี้จะไปต่อได้อีก 1-2 ปี”
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้กลุ่มซูเปอร์ลักซูรีเติบโต มาจากกลุ่มผู้ทำอาชีพธุรกิจส่วนตัว เช่น เจ้าของโรงงานขนาดใหญ่ ทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ ทั้งชาวญี่ปุ่น และชาวจีน (ซื้อในแบบสิทธิการเช่า 30 ปี หรือ Leasehold) สนใจซื้อบ้านราคา 100 ล้านบาท อาทิ โครงการบ้านอิสสระ บางนา ราคา 130-150 ล้านบาท
“ส่วนใหญ่คนกลุ่มนี้ซื้อบ้านด้วยเงินสด 50-60% ซึ่งไม่ใช่เฉพาะโครงการในพื้นที่กรุงเทพฯ เท่านั้น แต่เราเห็นการซื้อเงินสดในพื้นที่ต่างจังหวัด อาทิ หัวหิน ส่วนกลุ่มที่กู้เงินซื้อบ้านช่วงนี้ค่อนข้างลำบาก”
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังเตรียมเปิดตัวบ้านลักซูรีอีก 1 โครงการ ภายในปลายปี 2568 ในย่านกรุงเทพกรีฑา บนพื้นที่ 40 ไร่ ราคา 80-150 ล้านบาท/ยูนิต การพัฒนามีจำนวน 2 เฟส
