ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่มีการต่อต้านความหลากหลาย ความเท่าเทียม และการมีส่วนร่วม (DEI) ในอเมริกา แต่เจ้าของธุรกิจขนาดเล็กที่เป็นชาว LGBTQ+ กลับยังคงยืนหยัดอย่างแข็งแกร่ง และกำลังมีชาว LGBTQ+ อีกมากที่กำลังเริ่มต้นธุรกิจจนทำสถิติสูงสุด
อ้างอิงจากการสำรวจของบริษัทซอฟต์แวร์ Gusto พบว่า ในปี 2024 ที่ผ่านมา จำนวนผู้ประกอบการรายย่อยที่ระบุว่าตนเป็น LGBTQ+ คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 10% ของผู้ประกอบการรายย่อยเกิดใหม่ทั้งหมด ซึ่งถือว่าเพิ่มขึ้นจากปี 2023 ถึง +50% นับเป็นการสถิติการเติบโตสูงสุดเป็นประวัติการณ์
โดย Nich Tremper นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสของ Gusto กล่าวว่า เจ้าของธุรกิจ LGBTQ+ นั้นต้องเผชิญอุปสรรค ทั้งด้านเงินทุน การมองเห็น และโอกาส มาเป็นเวลานาน แต่การที่มีชาว LGBTQ+ มากขึ้นที่กำลังเข้าสู่การเป็นผู้ประกอบการ เริ่มแสดงให้เห็นถึง ความเท่าเทียมในการสร้างธุรกิจ ในสหรัฐอเมริกา
อย่างไรก็ตาม มีการตั้งข้อสังเกตว่า การที่ชาว LGBTQ+ หันมาเป็นผู้ประกอบการมากขึ้น เป็นเพราะพวกเขาต้องการ มีอิสระมากขึ้น และเป็นไปได้ว่าพวกเขาเริ่มธุรกิจเพื่อ หลีกเลี่ยงการเลือกปฏิบัติ นอกจากนี้ ประมาณ 1 ใน 3 ของผู้ประกอบการชาว LGBTQ+ กล่าวว่า พวกเขาเริ่มธุรกิจเพื่อที่จะเป็น อิทธิพลเชิงบวก ต่อชุมชนของตน
ที่ผ่านมา ในยุคของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ถือว่าเป็นปีที่ยากลำบากของธุรกิจขนาดเล็ก เนื่องจากฝ่ายบริหารเสนอการลดงบประมาณการสนับสนุน รวมถึงโครงการการสนับสนุนเกี่ยวกับความหลากหลายทั้งในภาคธุรกิจและภาครัฐด้วย
อย่างไรก็ตาม โจนาธาน โลวิทซ์ (Jonathan Lovitz) รองประธานอาวุโสฝ่ายแคมเปญและการสื่อสารของ Human Rights Campaign เปิดเผยว่า แม้ชาว LGBTQ+ จะเจอกับการต่อต้านความหลากหลาย แต่เพราะมีความยืดหยุ่นในการปรับตัวสูง ทำให้อายุธุรกิจของชาว LGBTQ+ เฉลี่ยอยู่ที่ 12 ปีขึ้นไป ซึ่งถือว่าสูงกว่าค่าเฉลี่ย ที่ปกติธุรกิจรายย่อยมักจะ ล้มเหลวภายในช่วง 5 ปี
ทั้งนี้ จากข้อมูลของ National LGBT Chamber of Commerce พบว่า ธุรกิจที่มีเจ้าของเป็นชาว LGBTQ+ สามารถสร้างผลกระทบให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ เป็นมูลค่าถึง 1.7 ล้านล้านดอลลาร์