‘ไทย’ รั้งอันดับ 3 ของอาเซียน ที่ ‘บริษัทข้ามชาติ’ สนใจลงทุน

Robert Walters (โรเบิร์ต วอลเทอร์ส) เผย ‘ไทย’ ยังคงเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางที่บริษัทข้ามชาติสนใจเข้ามาตั้งสำนักงาน โดยเฉพาะในกลุ่มบริษัทที่มีแผนจะขยายธุรกิจ หรือเข้ามาเปิดสำนักงานใหญ่ข้ามชาติในอาเซียน แต่ยังเป็นรองมาเลเซีย และสิงคโปร์

 

‘ปุณยนุช ศิริสวัสดิ์วัฒนา’ ผู้จัดการโรเบิร์ต วอลเทอร์ส ประจำประเทศไทย เปิดเผยถึงผลสำรวจเกี่ยวกับทิศทางการลงทุนของบริษัทข้ามชาติในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่ง โรเบิร์ต วอลเทอร์ส ได้ดำเนินการสำรวจต่อเนื่องจากผลการศึกษา Business Outlook ของ UOB  ที่สำรวจประเทศต่างๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ ไทย มาเลเซีย อินโดนิเซีย และสิงคโปร์ เมื่อปี 2024 ที่ผ่านมา

 

โดยการสำรวจครั้งนี้ เป็นการสำรวจบริษัท 400 แห่งที่เป็นบริษัทข้ามชาติที่ดำเนินการในภูมิภาคเอเชียและเอเชียแปซิฟิก ครอบคลุมบริษัทจากจีน ฮ่องกง สิงคโปร์ มาเลเซีย ญี่ปุ่น และไทย พบว่า

 

‘ไทย’ ติดอันดับ 3 ของประเทศที่น่าสนใจในการขยายธุรกิจในอาเซียน รองจาก ‘มาเลเซีย’ และ ‘สิงคโปร์’ ซึ่งกว่า  50% ของบริษัท ระบุว่า กำลังพิจารณาที่จะขยายธุรกิจเข้ามายังไทยภายใน 24 เดือน นับจากวันที่ตอบแบบสำรวจ จากหลายปัจจัย ได้แก่

 

1. ศักยภาพของตลาด (Market Potential) : 54% ระบุปัจจัยหลักมาจากความต้องการของผู้บริโภคที่เติบโต (Growing consumer demand) โดยมองว่า การขยายธุรกิจในไทยเป็นเรื่องของการเพิ่มฐานลูกค้า เนื่องจากเศรษฐกิจในภูมิภาคนี้ยังคงมีสัญญาณของการเติบโต และมีศักยภาพที่จะเติบโตได้อีก เมื่อเทียบกับบางประเทศหรือภูมิภาคที่เศรษฐกิจขยายตัวต่ำมาก เช่น ยุโรปและญี่ปุ่น  

 

2.ความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจและต้นทุนในการประกอบธุรกิจ : กว่า 48% ยังคงเชื่อมั่นในเรื่องของ การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ดำเนินอยู่ และยังคงมองไทยเป็นตลาดที่คุ้มค่าด้านต้นทุน โดยเฉพาะต้นทุนแรงงานที่ยังคงมีความสามารถในการแข่งขัน เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ

 

3.ความได้เปรียบของตำแหน่งที่ตั้งทางยุทธศาสตร์ของประเทศไทย : 40% ของบริษัทที่พิจารณาเข้ามาลงทุนในไทยระบุว่า ไทยเป็นที่ตั้งทางภูมิศาสตร์เชิงกลยุทธ์ (Strategic Geographic Location) ทำให้เป็น ‘ฮับ’ ที่เชื่อมต่อไปยังประเทศอื่นได้ง่าย

 

แม้ไทยจะมีจุดแข็งในการดึงดูดบริษัทข้ามชาติเข้ามาตั้งสำนักงาน และมีข้อได้เปรียบในการดึงดูดพนักงานเข้ามาทำงาน จากการที่เอื้อให้พนักงานมีคุณภาพชีวิตที่ดี เช่น โครงสร้างพื้นฐานด้านสุขภาพและการศึกษาที่ดี และความปลอดภัย รวมถึงกิจกรรมในการใช้ชีวิตของ ‘คนทำงาน’ ที่มีความหลากหลายมากกว่าหลายประเทศที่เป็นคู่แข่ง

 

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลควรเดินหน้านโยบายเพื่อสร้างความแข็งแกร่งในการดึงดูดการลงทุนในระยะยาว โดยเฉพาะการแก้ไขข้อกังวลของนักลงทุน ได้แก่

 

1.แก้ไขปัญหาแรงงานและสังคมสูงวัย ซึ่งไทยถูกมองว่าเป็นประเทศที่กำลังก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัย อาจทำให้เกิดปัญหาขาดแคลนแรงงานทักษะสูง (Talent Supply) ดังนั้นรัฐบาลควรเร่งเดินหน้านโยบายหนุนดึงต่างชาติกลุ่มทักษะสูงในสาขาที่ขาดแคลน เช่น ความปลอดภัยไซเบอร์ (Cyber Security) , Implementation และปัญญาประดิษฐ์ (AI)  โดยควรเน้นไปที่การดึงดูดแรงงานทักษะ (Skill) ที่มีศักยภาพสูงที่ประเทศต้องการ เพื่อชดเชยจุดอ่อนในเรื่องนี้

 

2.การบริหารจัดการค่าเงินบาทที่แข็งค่าอย่างต่อเนื่อง ทำให้ความสามารถในการแข่งขันของภาคส่งออก และการท่องเที่ยว ลดลง แม้จะไม่ได้กระทบการตัดสินใจตั้งฐานการลงทุนโดยตรง หรือไม่ได้กระทบกับรายได้ของพนักงานต่างชาติที่เข้ามาทำงานในไทย แต่จะส่งผลให้เศรษฐกิจโดยรวมแข่งขันได้ยาก ดังนั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งธนาคารแห่งประเทศไทยและกระทรวงการคลังควรเข้ามาดูแลและบริหารจัดการในเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนอย่างใกล้ชิด