ใครที่ได้ดูซีรีส์อย่าง สงครามส่งด่วน จากทาง Netflix มาแล้ว น่าจะจำกับสุภาษิตจีนที่แปลเป็นไทยว่า พ่อสร้าง ลูกใช้ หลานพัง กันได้ แต่ก็มีหลายธุรกิจที่ยืนหยัดมาได้ถึง รุ่น 3 โดย Positioning จะมาสรุปเรื่องราวและแนวคิดการ บริหารธุรกิจครอบครัว จากทายาท Gen 3 จาก 3 แบรนด์ดังอย่าง น้ำปลาแท้ตราหอยนางรม, น้ำมันตราองุ่น และ น้ำพริกตราแม่ประนอม ที่ได้แบ่งปันในงานสัมมนา “เปิดตำนานบทใหม่ GEN3 สานต่อธุรกิจยั่งยืน” จัดโดยวารสารการเงินธนาคาร ในหัวข้อ The Successor: ทายาทธุรกิจ กับ ความท้าทายและโอกาส
ผู้สืบทอดควรมีเพียงคนเดียว
พันธ์ชนะ รัตนประสิทธิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท น้ำปลาพิไชย จำกัด ทายาทรุ่น 3 ของ น้ำปลาแท้ตราหอยนางรม ได้เล่าถึงแนวคิดการทำธุรกิจครอบครัวว่า คุณปู่ (รุ่น 1) จะ ไม่ให้พี่น้องมายุ่งเกี่ยวในธุรกิจเดียวกัน เพราะมองว่า ตอนเป็นพี่น้องอาจยังไม่มีปัญหา แต่ถ้ามีครอบครัวมีโอกาสจะเกิดปัญหา ไม่เกิดตอนนั้นก็อาจเกิดในรุ่นลูก ปู่เลยตัดปัญหาโดยการ ให้เพียงคนเดียวที่ได้รับช่วงต่อธุรกิจ นอกนั้นก็แบ่งสมบัติเท่า ๆ กัน
“บ้านมีนโยบายไม่ให้คนในครอบครัวมาทำงานเลย จะมีแค่รุ่นลูกเท่านั้น ญาติพี่น้องจะทำไม่ได้ เพราะปัญหาเยอะ เดี๋ยวมีปัญหาเรื่องอภิสิทธิ์” พันธ์ชนะ เล่า
ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว คุณพ่อ (รุ่น 2) ไม่ได้เป็นผู้สานต่อธุรกิจน้ำปลา แต่เพราะพี่ชายของพ่อบริหารไม่ดี เกิดการทุจริตภายใน ทำให้คุณปู่ต้องตามตัวพ่อที่อยู่ต่างประเทศให้กลับมาช่วย
“ตอนนั้นพ่อเป็นลูกคนเดียวในบรรดาพี่น้อง 5 คนที่ได้เรียนต่างประเทศ ตอนแรกพ่อไม่ได้คิดจะกลับมาไทย คิดว่าจะตั้งรกรากที่อเมริกาเลย แต่ลุงทำไม่ดีก็ยกให้พ่อแทน และให้ลุงออกจากธุรกิจไปเลย และแบ่งทรัพย์สมบัติอื่น ๆ ไป”
ไม่ยึดติดว่าลูกต้องสานต่อ
จากแนวทางที่คุณปู่วางไว้ พันธ์ชนะ ก็มองว่า จะทำตามแนวทางเดิม โดยการส่งต่อธุรกิจให้ทายาทเพียง คนเดียว จากลูกทั้งหมด 3 คนที่ได้สืบทอดโรงงานน้ำปลา ที่เหลือจะแบ่งสันปันส่วนธุรกิจอื่น ๆ ไปดูแลแทน แต่ถ้าไม่มีใครเหมาะสม ก็จะ เข้าตลาดฯ
“ผมไม่ซีเรียสเลยว่าลูกต้องรับช่วงต่อกิจการ เราวางแผนแล้วว่าเราจะเอาเข้าตลาด จะแบ่งสันปันส่วนหุ้น และหามืออาชีพเข้ามา ไม่จำเป็นว่าเราจะต้องยึดติดว่าเราต้องเป็นเจ้าของแต่เพียงผู้เดียว หรือคนในตระกูลเท่านั้น เพราะมันอาจทำให้ธุรกิจมันไปต่อไม่ได้ เพราะต่องยอมรับว่าคนที่จะมาสานต่อธุรกิจต้องเก่งพอสมควร”
เช่นเดียวกับแบรนด์ แม่ประนอม โดย ปาล์มมี่ ธนาภรณ์ ภาษาประเทศ ประธานกลุ่มงานการตลาดและการขาย บริษัท พิบูลย์ชัยน้ำพริกเผาไทยแม่ประนอม จำกัด ทายาท Gen 3 แม่ประนอม เห็นด้วยที่ ไม่ได้ยึดติดว่าต้องเป็นคนในครอบครัวมาสานต่อ เพราะมองว่าโจทย์คือ ต้องทำให้แบรนด์อยู่ต่อไปได้ในอนาคต ดังนั้น ความยั่งยืนของแบรนด์ สำคัญกว่า
“พ่อแม่ไม่ได้บอกว่าเราต้องทำ ต้องมาช่วยธุรกิจครอบครัว แต่เพราะคลุกคลีกับธุรกิจตั้งแต่เด็ก เห็นตั้งแต่มีพนักงานไม่กี่คน จนมา Gen 2 รุ่นคุณแม่ที่บริหาร ทำให้เรารู้สึกว่าต้องสานต่อธุรกิจ เราถือว่าโชคดีที่ไม่ต้องลำบากจุดเริ่มต้น แต่ก็ไม่ได้สบาย เพราะเป้าหมายคือ ทำให้แบรนด์ไปต่อได้ในอนาคต”
เลือกคนที่เหมาะ ไม่ใช่เลือกเพราะเป็นคนในครอบครัว
ด้าน พาชัย จันทร์พิทักษ์ ทายาทรุ่น 3 แห่ง บมจ. น้ำมันพืชไทย เจ้าของ น้ำมันพืชตราองุ่น เล่าว่า ตระกูล จันทร์พิทักษ์ เป็นตระกูลใหญ่ โดยแม่ (รุ่น 2) เป็นลูกคนที่ 8 และมีลูกพี่ลูกน้องรวม ๆ เกือบ 24 คน ซึ่งในยุคคุณตาหลักคิดตอนนั้นคือ ลูกชายได้เท่าไหร่ ลูกสาวได้ครึ่งหนึ่ง แต่ถ้าทำงานดี คุณจะได้เท่ากับผู้ชาย
แต่ยุคของ พาชัย ที่บริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์แล้ว ทำให้ทุกอย่างง่ายมาก ลดปัญหาจุกจิกได้เยอะ เพราะ แบ่งตามหุ้น อยากได้เพิ่มซื้อ อยากออกก็ขาย และคนที่เข้ามาทำงานจะถูกคัดตาม Job Description เท่านั้น ไม่ใช่ว่าเป็นคนในครอบครัวก็มาทำงานได้
“ทางครอบครัวไม่ได้บังคับให้ลูกหลาน ต้องเข้ามารับช่วงต่อ และไม่ได้ห้ามหรือไม่ห้ามคนในครอบครัวเข้ามาทำงานในบริษัท แต่ใครที่จะเข้ามาทำงานในบริษัทก็ต้องถูกคัดเข้ามาจากระบบอย่างถูกต้อง ซึ่งมันยากมาก”
โดย พาชัย ยกตัวอย่างตัวเองว่า ตอนแรกเขาก็ไม่ได้ทำงานในบริษัทเลย แต่ออกไปหาประสบการณ์จากการทำงานข้างนอกเป็นเวลา 2 ปี ก่อนจะกลับมาทำงานกับที่บ้าน และเขาเองก็ไม่ได้อยู่ ๆ ก็ขึ้นมาเป็นผู้บริหาร แต่ได้รับการ คัดเลือกจากกรรมการภายนอก ซึ่งต้องเห็นแล้วว่า เหมาะกับบริษัทจริง ๆ
“เพราะเราเป็นบริษัทในตลาด เราต้องทำให้ดีที่สุดไม่ใช่ดีแค่เพื่อครอบครัว แต่ต้องทำให้ดีที่สุดเพื่อผู้ถือหุ้น ดังนั้น เราไม่ยึดติดว่าต้องเป็นคนในครอบครัว เพราะยังไงโลกภายนอกก็ต้องมีคนที่เก่งกว่าอยู่แล้ว ตอนนี้เราก็พยายามเฟ้นหาคนที่เก่งที่สุดมาพาบริษัทไปให้ไกล และผมคิดว่ากระบวนการนี้ควรดำเนินการต่อไป”

รู้จักคน รู้จักงาน หลักการบริหารจัดการคนในครอบครัว
ด้านการบริหารจัดการคนในครอบครัว พาชัย ยอมรับว่า ยากมาก เพราะหลายคนหลายความคิด แต่ละคนก็มีความชอบ ความถนัด ความเข้าใจ ความคาดหวัง ที่ต่างกัน แต่คีย์หลักที่พาชัยใช้ในการบริหารจัดการคือ
- รู้จักคน คือ ต้องรู้ว่าคนที่คุยด้วยนิสัยอย่างไร มีความต้องการ ความคาดหวังอย่างไร เพื่อ Customize การสื่อสาร เช่น คุยกับซีเนียร์ต้องมีสัมมาคารวะ ตัวเลขไม่ต้องเยอะ เน้นใช้หลักฐาน เป็นต้น
- รู้จักงาน เพราะถ้ารู้งานอย่างลึกซึ้ง ถามอะไรตอบได้ ก็จะได้รับความไว้วางใจ
“อย่างไรก็ตาม ทุกอย่างมันไม่มีทางลัด มันต้องใช้เวลาเพื่อให้เขายอมรับ ไว้ใจ เราเองก็ใช้เวลาเป็นสิบปี ทุกวันนี้ก็ยังมีชาเลนจ์ตลอดเวลา”
ทำงานกับพี่น้องต้องเป็นมืออาชีพ
ด้านหลักการทำงานของ ธนาภรณ์ ที่เป็น น้องคนกลาง ก็เล่าว่า ในการทำงานจะมีความ เป็นมืออาชีพ โดยการบริหารจะมีการแบ่งหน้าที่กันชัดเจน ต้องมีข้อมูลเพื่อใช้ชี้แจงเรื่องต่าง ๆ เพราะต้องยอมรับว่า แต่ละเจนก็มีมุมมองการทำงานต่างกัน และที่สำคัญ เรื่องสำคัญต้องคุยกันต่อหน้า
“แน่นอนว่าการทำงานกับพี่น้อง มันต้องมีเรื่องที่ความเห็นไม่ตรงกัน แต่ทุกอย่างต้องอยู่บนพื้นฐานของข้อมูลจริง และต้องเปิดรับฟังมุมมองอื่น ๆ ด้วย”
ปล่อยให้ลูกได้ลองผิดลองถูกบ้าง
พันธ์ชนะ ทิ้งท้ายว่า ใครที่มีทายาทจะให้สานต่อธุรกิจ ควรเปิดโอกาสให้เขาได้ลองไอเดียบ้าง ถ้าสำเร็จจะเป็นพลังให้เขาได้ต่อยอด เพราะที่ผ่านมา ตนเองก็ไม่ได้คิดที่จะ สานต่อ เพราะตนชอบธุรกิจอสังหาฯ ถนัดการขาย การตลาด ไม่ถนัดเรื่องการผลิต ทำให้ในช่วงแรกที่ต้องดูแลโรงงานน้ำปลา ตนทำไปวัน ๆ เพราะไม่สนุก
“ผมกับพ่อจะเป็นคนละขั้ว เราทำอะไรไปโดนเบรกตลอด ผมเลยไม่สนุก ตอนนั้นผมทิ้งโรงงานเลย แต่พ่อก็กลัวว่าเราจะไม่กลับมาทำ จนมีเพื่อนมาบอกเขา ว่าให้ลูกค้าโชว์ฝีมือบ้าง เราเลยพิสูจน์ให้เห็น ออกน้ำปลาแบบซองเป็นผลงานชิ้นโบแดง จากนั้นมันทำให้เรามีเป้าหมาย มีแพชชั่นในการทำงาน”
ผมอยากแนะนำว่า ถ้ารุ่นลูกอยากทำอะไรก็ให้เขาลองไป ถ้าเขาเจ๊ง เรายังมีโอกาสช่วยได้ แต่ถ้าเราเสียชีวิตไปแล้ว และเขาถึงได้ไปลองผิดลองถูก ถ้าเขาเจ๊ง ไม่มีใครช่วยเหลือเขาได้แล้ว

