ยาดมหงส์ไทย กระปุกเขียวขนาดเหมาะมือที่เริ่มต้นจากซุ้มในตลาดนัด กลายเป็นปรากฏการณ์ระดับโลกเมื่อ “เจ้าฟ่าง” ธีรพงศ์ ศิลาชัย ยกน้ำหนักคว้าเหรียญเงินโอลิมปิกปารีส 2024 พร้อมดมยาดมหงส์ไทยหน้ากล้อง จนสื่อต่างชาติอย่าง BBC และ CNN เรียกว่า “Thai Magic Inhaler” ยอดค้นหาบน Google พุ่ง 500% กลายเป็นกระแสต่อเนื่องจากภาพลิซ่า Lisa BLACKPINK ที่พกติดตัวในทริปต่างประเทศ ส่งให้ยอดขายออนไลน์ทะลุหลายเท่าตัว
แต่เบื้องหลังความสำเร็จที่ดูเหมือนสมบูรณ์แบบนี้ กลับมีปริศนาทางการเงินที่ทำให้นักสังเกตการณ์ต้องหยุดคิด ว่าทำไมแบรนด์ที่ครองส่วนแบ่งตลาดหลักในตลาดยาดมไทย 4,500 ล้านบาท มีกำลังการผลิตเดือนละหลายแสนกระปุก และมียอดขายหลักล้านยูนิตต่อปี กลับมีกำไรเพียง 2-3 ล้านบาท?
จากขาดทุนสู่กำไร ตัวเลขนี้ (ไม่ค่อย) สมเหตุสมผล
หากย้อนดูข้อมูลผลประกอบการจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ บริษัท สมุนไพรไทย หงส์ไทย จำกัด ซึ่งก่อตั้งในปี 2549 โดย “เก่ง” ธีระพงศ์ ระบือธรรม ด้วยสูตรสมุนไพรผสมพิมเสนและสมุนไพรไทยกว่า 10 ชนิด มีภาพรวมทางการเงินที่น่าสนใจ ดังนี้
- ปี 2559-2564: ขาดทุนต่อเนื่อง 6 ปี (รวมขาดทุนกว่า 27 ล้านบาท) แม้รายได้เติบโตจาก 8.4 ล้านเป็น 24.8 ล้านบาท
- ปี 2565: รายได้กระโดดเป็น 62.7 ล้านบาท พลิกมาทำกำไร 782,832 บาท
- ปี 2566: รายได้พุ่งสูงสุด 215.7 ล้านบาท แต่กำไรเพียง 1.4 ล้านบาท (อัตรากำไรสุทธิ 0.66%)
- ปี 2567: รายได้ทะลุ 366 ล้านบาท กำไรเพิ่มเป็น 2 ล้านบาท (อัตรากำไรสุทธิ 0.56%)
ตัวเลขเหล่านี้ชวนให้ตั้งคำถาม ว่าธุรกิจที่มีรายได้เกิน 300 ล้านบาทต่อปี ครองส่วนแบ่งตลาดใหญ่ชัดเจนในอุตสาหกรรม แต่ทำไมกำไรถึงบางจนน่าตกใจ? ทั้งที่สินค้าขายหมดสต็อก มีกระแส viral ระดับโลก และราคาต้นทุนการผลิตยาดมสมุนไพรไม่ได้สูงมากนัก
ทฤษฎีเบื้องหลังตัวเลขเหล่านี้อาจสันนิษฐานได้ไม่ต่ำกว่า 4 มุม หนึ่งในนั้นคือโครงสร้างหนี้ที่ไม่มีวันจบ
ในบางธุรกิจ บริษัทอาจมีหนี้สินจากการกู้เงินจากผู้ถือหุ้น โดยบริษัทเลือกจ่ายแต่ดอกเบี้ยไปเรื่อยๆ แทนที่จะชำระเงินต้น ผู้ถือหุ้นเหล่านี้อาจเป็นญาติพี่น้องหรือบุคคลใกล้ชิด ทำให้หนี้ไม่มีวันลดลง แต่สร้างรายจ่ายดอกเบี้ยที่กัดกร่อนกำไรอย่างต่อเนื่อง ซึ่งยังไม่มีการเปิดเผยว่าหงส์ไทยอยู่ในกรณีนี้หรือไม่
ขาดทุนเชิงบัญชี?
มุมที่ 2 คือกลยุทธ์ภาษีแบบ “ขาดทุนเชิงบัญชี“ ต้องยอมรับว่าการรายงานกำไรต่ำหรือขาดทุนอาจเป็นกลยุทธ์ในการลดภาระภาษีนิติบุคคล โดยเฉพาะในช่วงที่ธุรกิจเติบโตอย่างรวดเร็ว และการจัดโครงสร้างต้นทุนและค่าใช้จ่าย (เช่น ค่าเสื่อมราคา ค่าการตลาด ดอกเบี้ยจ่าย) ให้กำไรสุทธิอยู่ในระดับต่ำ เป็นเทคนิคที่ SME หลายรายใช้กันมานานแล้ว
มุมที่ 3 คือการขยายตัวแบบก้าวกระโดด เนื่องจากในช่วงปี 2565-2567 หงส์ไทยขยายโรงงานและเพิ่มกำลังการผลิตอย่างมาก ค่าใช้จ่ายในการลงทุนเครื่องจักร การจ้างพนักงานเพิ่ม และการขยายช่องทางจัดจำหน่ายทั้งในและต่างประเทศ อาจส่งผลให้กำไรสุทธิถูกกดลง แม้รายได้จะพุ่งสูง
มุมที่ 4 คือต้นทุนซ่อนเร้น เพราะหงส์ไทยต้องบริหารจัดการตัวแทนขายมากมายในการส่งออกต่างประเทศ และการรักษาคุณภาพสมุนไพร ต้องใช้ต้นทุนโลจิสติกส์และการควบคุมคุณภาพที่มีรายละเอียดมาก ซึ่งคาดว่าต้นทุนส่วนนี้จะเพิ่มมากขึ้นอีกหลังจากวิกฤติคุณภาพสินค้า ที่เป็นข่าวดังเมื่อ 28 ตุลาคม 2568 ที่ผ่านมา
แม้โครงสร้างทางการเงินของหงส์ไทยจะยังคงเป็นปริศนา แต่สถานการณ์ปัจจุบันของหงส์ไทยได้มอบบทเรียนที่น่าสนใจมากสำหรับธุรกิจไทย เพราะการที่หงส์ไทยถูกบุกตรวจโรงงาน 2 แห่ง และโดนข้อหาผลิตโดยไม่ได้รับอนุญาตเต็มรูปแบบ นำไปสู่การสั่งปิดชั่วคราว นำไปสู่การยึดสินค้า 2.4 ล้านชิ้น มูลค่า 120 ล้านบาทนั้น ถือเป็นบทพิสูจน์ว่าผู้ที่ประกอบธุรกิจในรูปแบบ OEM (Original Equipment Manufacturer) เช่น อาหารเสริม หรือสินค้าความงาม ควรจะต้องระวังและดำเนินการให้รัดกุม เกี่ยวกับเรื่องการทำสัญญาและการบริหารความเสี่ยง
ข้อกำหนดสำคัญที่ธุรกิจต้องระบุในสัญญากับโรงงาน OEM คือการรับรองสูตรและความรับผิดชอบ ในสัญญาควรต้องระบุให้โรงงานผู้ผลิตรับรองว่า สูตรที่มอบให้แก่ผู้ประกอบการนั้น เป็นความรับผิดชอบของโรงงานทั้งหมด โดยโรงงานจะต้องรับรองว่า ไม่มีสารใด ๆ ที่จะทำให้เกิดปัญหาต่อผลิตภัณฑ์ ซึ่งหากเกิดปัญหาขึ้นภายหลังและสัญญามีการระบุข้อตกลงเหล่านี้อย่างชัดเจน โรงงานผู้ผลิตจะเป็นผู้รับผิดชอบทั้งหมด
ในเมื่อไม่มีการระบุชัดในสัญญา ธุรกิจหงส์ไทย 20 ปีจึงเสียหายมากมายเช่นในเวลานี้ ขณะเดียวกัน กรณีที่เกิดขึ้นยังสามารถสะท้อนปัญหาโครงสร้างของ SME ไทยที่เติบโตเร็วเกินกว่าระบบการบริหารจัดการจะรองรับได้ และยังเป็นคำถามว่าธุรกิจจะเติบโตไปได้อย่างยั่งยืนหรือไม่ หากโครงสร้างทางการเงินยังคงเป็นปริศนาต่อไป?




