อโกด้าเผยผลรายงาน AI Developer Report 2025 สำรวจแนวทางการใช้งาน AI ของเหล่านักพัฒนาซอฟต์แวร์ทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และอินเดีย

• จากรายงานพบว่าการใช้ AI เป็นเรื่องปกติโดยกว่า 95% ของกลุ่มนักพัฒนาซอฟต์แวร์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และอินเดียใช้ AI ในการทำงานทุกสัปดาห์
• กว่า 87% ของนักพัฒนาซอฟต์แวร์กำลังเร่งเสริมทักษะในการใช้งาน AI ให้กับตัวเองซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นและทัศนคติเชิงบวกเกี่ยวกับ AI แม้ว่าการเข้าถึงการเรียนรู้ด้าน AI จะยังไม่ทั่วถึงมากนัก
• กลุ่มนักพัฒนาซอฟต์แวร์มีการนำ AI มาใช้ในเชิงปฏิบัติเพื่อเน้นเพิ่มความรวดเร็วและคุณภาพของงานมากกว่าใช้ AI ในแบบออโตเมชันทั้งหมด ซึ่งการใช้งานในรูปแบบนี้เป็นที่แพร่หลายอย่างมากในกลุ่มนักพัฒนาในประเทศไทย

อโกด้า แพลตฟอร์มดิจิทัลด้านการท่องเที่ยวเผยรายงานฉบับใหม่ AI Developer Report 2025 หรือรายงานนักพัฒนา AI ปีพ.ศ. 2568 ซึ่งพบว่าการใช้งาน AI หรือเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ในกลุ่มนักพัฒนาซอฟต์แวร์ทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และอินเดียอยู่ในระดับสูง อย่างไรก็ตามการใช้งานดังกล่าวยังอยู่ในช่วงของการพัฒนาให้ใช้งานได้อย่างเต็มศักยภาพ และนักพัฒนานำ AI มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความรวดเร็วในการทำงานโดยไม่ลดทอนคุณภาพของผลงาน ขณะเดียวกันองค์กรต่างๆกำลังเผชิญความท้าทายในการวางนโยบายแนวปฏิบัติและกรอบการทำงานที่เหมาะสมเพื่อรองรับการพัฒนา AI ในระยะต่อไปของภูมิภาค

รายงานดังกล่าวอ้างอิงข้อมูลเชิงลึกจากนักพัฒนาซอฟต์แวร์ ในประเทศอินโดนีเซีย มาเลเซีย ไทย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ เวียดนาม และอินเดีย รวมถึงมุมมองจากบริษัทชั้นนำในภูมิภาคอย่าง SCB 10x, Omise, Carousell และ MoMo โดยรายงานฉบับนี้ได้สรุปประเด็นสำคัญที่เชื่อมโยงเกี่ยวกับแนวโน้มการนำเทคโนโลยี AI มาใช้ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และอินเดียไว้ 3 ประเด็นดังนี้

AI กลายเป็นเทคโนโลยีหลัก แต่ยังไม่ได้ถูกพัฒนาอย่างเต็มที่

AI ได้กลายเป็นเครื่องมือประจำวันของนักพัฒนาซอฟต์แวร์ทั่วทั้งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และอินเดีย โดยจากรายงานพบว่ามีนักพัฒนาถึง 95% ที่ใช้ AI เป็นประจำทุกสัปดาห์ และกว่า 56% เปิดใช้ผู้ช่วย AI อยู่ตลอดเวลาโดยปัจจัยหลักที่ผลักดันให้เกิดการใช้งาน AI คือประสิทธิภาพและความรวดเร็ว โดย 80% ของผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่าใช้ AI เพื่อเพิ่มความเร็วในการทำงาน และมีกลุ่มนักพัฒนาจำนวนมากเริ่มเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน โดย 37% ระบุว่าสามารถประหยัดเวลาได้ถึง 4–6 ชั่วโมงต่อสัปดาห์

อย่างไรก็ตาม การใช้งาน AI ในปัจจุบันยังคงเป็นเพียงเครื่องมือเพื่อเสริมประสิทธิภาพมากกว่าการเป็นเครื่องมือสร้างสรรค์ผลงาน นอกจากนี้ 22% ของกลุ่มนักพัฒนานำเอา AI มาใช้เพื่อช่วยแก้ปัญหาที่ไม่คุ้นเคย และน้อยกว่าครึ่งหรือราว 43% ของกลุ่มนักพัฒนาที่เชื่อว่า AI สามารถทำงานได้ดีในระดับเทียบเท่ากับวิศวกรระดับกลาง ขณะที่ 94% ใช้ AI เพื่อช่วยในการเขียนโค้ด อย่างไรก็ตาม เมื่อถามถึงการใช้งานประเภทการจัดทำเอกสารการจัดการทดสอบและการปรับใช้ระบบผลสำรวจพบว่าการนำเอา AI เข้ามาใช้งานยังมีเปอร์เซ็นต์ที่น้อย อันเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงช่องว่างระหว่างการใช้งานจริง กับความน่าเชื่อถือของ AI ซึ่งชี้ให้เห็นความจำเป็นในการพัฒนาให้ AI มีความเสถียรและให้ผลลัพธ์ที่แม่นยำมากยิ่งขึ้น

AI กำลังพัฒนาให้มีความน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น

การตรวจสอบและการยืนยันผลลัพธ์ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการทำงานกับ AI ในชีวิตประจำวันของกลุ่มนักพัฒนาซอฟต์แวร์อย่างชัดเจน โดย 79% ของนักพัฒนาระบุว่าผลลัพธ์ที่ไม่น่าเชื่อถือคืออุปสรรคสำคัญต่อการนำ AI มาใช้อย่างแพร่หลาย และเพื่อรักษาคุณภาพของงานนักพัฒนาซอฟต์แวร์กว่า 67% จะตรวจสอบโค้ดที่สร้างโดย AI ทุกบรรทัดก่อนนำมารวมเข้ากับงานของตนเอง อีกทั้งกว่า 70% มักปรับแต่งหรือแก้ไขผลงานของ AI เพื่อให้แน่ใจว่าข้อมูลถูกต้องและเชื่อถือได้

นอกจากนี้ ผลสำรวจยังพบว่ามาตรการและนโยบายในการใช้งาน AI ยังไม่เป็นที่แพร่หลายมากนัก โดยมีเพียง 1 ใน 4 เท่านั้นที่ทำงานภายใต้แนวทางหรือกรอบข้อกำหนดด้าน AI ที่ชัดเจน และนำเอาการตรวจสอบและประเมินผลของคนมาเพื่อใช้ตรวจสอบความน่าเชื่อถือแทนซึ่งการตรวจสอบในรูปแบบดังกล่าวไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการสร้างนวัตกรรมแต่กลับช่วยเสริมประสิทธิภาพให้การใช้งานAI จึงทำให้นักพัฒนาซอฟต์แวร์สามารถทำงานได้เร็วขึ้นในขณะที่ประสิทธิภาพของงานยังคงที่โดยกว่า72% ของนักพัฒนาซอฟต์แวร์ยืนยันว่าเห็นผลลัพธ์ชัดเจนทั้งด้านประสิทธิภาพและคุณภาพของโค้ดซึ่งเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าการมีคนเข้ามากำกับดูแลการทำงานของAI ยังเป็นปัจจัยที่สำคัญเพื่อการใช้งานAI ที่ถูกต้อง

ประสบการณ์การใช้งาน AI ยังต่างกัน และความเสี่ยงจากความเหลื่อมล้ำ

ขณะที่การใช้งาน AI จะเกือบเข้าสู่ระดับที่แพร่หลาย แต่ประเด็นที่ต้องให้ความสำคัญคือ วิธีการใช้งาน AI อย่างมีความรับผิดชอบและมีประสิทธิภาพ จากรายงานพบว่า นักพัฒนาส่วนใหญ่กว่า 71% เรียนรู้การใช้ AI ด้วยตนเองผ่านการศึกษาบทเรียนออนไลน์ โครงการเสริม หรือจากแหล่งชุมชนออนไลน์ ขณะที่มีเพียง 28% ที่ได้รับการฝึกอบรมจากที่ทำงาน อีกทั้งการเข้าถึงเพื่อพัฒนาศักยภาพการใช้งาน AI ยังแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศโดย โดยกลุ่มนักพัฒนาในประเทศสิงคโปร์นั้นมีโอกาสที่จะได้รับการอบรมด้าน AI มากกว่านักพัฒนาในเวียดนามถึงเกือบสองเท่า

แม้จะมีช่องว่างเหล่านี้ นักพัฒนาก็ยังเดินหน้าเสริมความสามารถให้แก่ตนเองอย่างต่อเนื่อง โดย 87% ของนักพัฒนามีการปรับแผนการเรียนรู้ หรือเส้นทางอาชีพเพื่อใช้ประโยชน์จาก AI และ 62% เชื่อว่า AI จะช่วยขยายโอกาสในอาชีพของตนซึ่งเป็นการวางรากฐานระยะยาวของเหล่านักพัฒนาทั้งภูมิภาค สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่า แรงงานนั้นมีความสามารถ มีความยืดหยุ่นในการเรียนรู้ มีความมุ่งมั่น พร้อมทดลองสิ่งใหม่ ๆ และมีความรู้ด้าน AI มากกว่าที่องค์กรจะสามารถจัดอบรมให้ความรู้ให้ได้

คุณอิแดน ซาลซ์เบิร์ก ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีของอโกด้า กล่าวว่า “AI กำลังเปลี่ยนวิธีที่นักพัฒนาซอฟต์แวร์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และอินเดีย ใช้ความคิดสร้างสรรค์เรียนรู้และทำงานร่วมกัน จากเดิมที่ AI ถูกนำมาใช้เพื่อเร่งงาน เช่น การเขียน ทดสอบ หรือแก้ไขโค้ด วันนี้ AI กลายเป็นตัวขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงในกระบวนการสร้างซอฟต์แวร์ ช่วยให้ทีมทำงานได้รวดเร็วขึ้น เรียนรู้อย่างต่อเนื่อง และแก้ปัญหาในรูปแบบใหม่ๆ ได้เป็นอย่างดี

การใช้ AI ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และอินเดีย

แม้เป็นสิ่งที่แพร่หลายแต่ความไม่เท่าเทียมก็ยังมีให้ได้พบเห็น โดยนักพัฒนาได้นำ AI มาใช้อย่างรอบคอบเพื่อการทำงานที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ และนำมาปรับใช้ด้วยความรอบคอบแทนที่จะใช้ AI แทนทักษะต่างๆ หรือการตัดสินใจที่สำคัญ ความท้าทายที่แท้จริงคือการสนับสนุนการเติบโตจากฐานรากนี้ด้วยแนวปฏิบัติที่เป็นระบบและการทดลองอย่างรับผิดชอบ เพื่อเปลี่ยนการใช้งาน AI ให้มีประสิทธิภาพและมีความยั่งยืน”

นักพัฒนาชาวไทยนำ AI มาใช้อย่างรอบคอบที่สุด

นักพัฒนาซอฟต์แวร์คนไทยยังคงเป็นกลุ่มที่นำ AI มาใช้งานอย่างรอบคอบที่สุด โดยมีเพียง 5% ของนักพัฒนาซอฟต์แวร์คนไทยที่ “มั่นใจอย่างยิ่ง” ว่า AI สามารถทำงานได้เทียบเท่ากับวิศวกรระดับกลาง ซึ่งถือว่าต่ำที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับนักพัฒนาซอฟต์แวร์จาก 7 ประเทศที่ถูกสำรวจ ขณะที่ 41.3% ของนักพัฒนาซอฟต์แวร์คนไทยแสดงความไม่มั่นใจกับการใช้ AI ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการใช้วิจารณญาณและความรอบคอบในการใช้ AI มากกว่าการใช้ AI ไปตามกระแส

อีกทั้งผลลัพธ์ด้านประสิทธิภาพก็คงชัดเจน โดยเกือบครึ่งของนักพัฒนาซอฟต์แวร์คนไทย (46.3%) แสดงความคิดเห็นว่าการใช้งาน AI ช่วยประหยัดเวลาได้ 4 – 6 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ซึ่งเป็นเกณฑ์ที่มากกว่านักพัฒนาซอฟต์แวร์จากประเทศอื่นๆ อันชี้ให้เห็นว่าคุณค่าการใช้งานที่แท้จริงนั้นยังมีให้เห็นแม้อาจมีความไม่ชัดเจนอยู่บ้าง

การสำรวจนี้ อโกด้าได้จัดทำขึ้นร่วมกับ Macramé Consulting โดยในฐานะบริษัทด้านเทคโนโลยีและการท่องเที่ยวดิจิทัลชั้นนำในภูมิภาค อโกด้ามุ่งมั่นยกระดับทักษะบุคลากรด้านเทคโนโลยีในท้องถิ่น ส่งเสริมนวัตกรรมและลงทุนในชุมชนที่ดำเนินงานอยู่ผ่านการเผยแพร่ผลการศึกษานี้ อโกด้าต้องการสนับสนุนกลุ่มนักพัฒนาซอฟต์แวร์ให้สร้างทักษะและระบบการทำงานที่มีประสิทธิภาพเพื่อขับเคลื่อนภูมิภาคสู่การเป็น “Silicon Valley of Asia” (ซิลิคอนแวลลีย์ของเอเชีย) ผ่านการผสานเทคโนโลยีล้ำสมัยเข้ากับวัฒนธรรมความรับผิดชอบและการทำงานร่วมกันเพื่อสร้างการเติบโตที่ยั่งยืน

เพื่อศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมและดาวน์โหลดรายงานฉบับนี้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายสามารถเยี่ยมชมเว็บไซต์ apacdeveloperreport.com